วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561

ประเภทของหลักสูตร

ประเภทของหลักสูตร
หลักสูตรบูรณาการ
เป็นหลักสูตรที่พัฒนามาจากหลักสูตรกว้างโดยนำเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆ มาหลอมรวม ทำให้ความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละวิชาหมดไป

ลักษณะของหลักสูตรบูรณาการที่ดี
1.บูรณาการระหว่างความรู้และกระบวนการเรียนรู้ อาจใช้วิธีการถ่ายทอดความรู้อย่างง่ายๆ เช่น การบอกเล่า การบรรยาย และการท่องจำ
2.บูรณาการระหว่างพัฒนาการทางความรู้และพัฒนาการทางจิตใจ คือมุ่งในด้านพุทธิพิสัย อันได้แก่ความรู้ ความคิด และการแก้ปัญหา มากกว่าด้านจิตพิสัย คือ เจตคติ ค่านิยม ความสนใจ และความสุนทรียภาพ
3.บูรณาการระหว่างความรู้และการกระทำ การสร้างสหสัมพันธ์ระหว่างความรู้และการกระทำมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าระหว่างความรู้และจิตใจ โดยเฉพาะในด้านจริยศึกษา การเรียนรู้เรื่องค่านิยมและการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสามารถในการเลือกค่านิยมที่เหมาะสม
4.บูรณาการระหว่างสิ่งที่เรียนในโรงเรียนกับสิ่งที่เป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้เรียนสิ่งหนึ่งที่จะพิสูจน์ว่าหลักสูตรดีหรือไม่ดี
5.บูรณาการระหว่างวิชาต่างๆ นำเอาเนื้อหาของวิชาหนึ่งมาเสริมอีกวิชาหนึ่ง เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้และเกิดเจตคติตามที่ต้องการ โดยอาศัยเนื้อหาของหลายๆ วิชา มาช่วยในการแก้ปัญหานั้น
รูปแบบของบูรณาการ
1.บูรณาการภายในหมวดวิชา เป็นการสอดคล้องกับแนวความคิดของหลักสูตรที่ว่าการเรียนรู้ต้องมีลักษณะเป็นสหวิทยาการ
2.บูรณาการ ภายในหัวข้อ และโครงการคือการนำเอาความรู้ ทักษะและประสบการณ์ ของวิชาหรือหมวดวิชาตั้งแต่สองวิชาหรือหมวดวิชาขึ้นไปมาผสมผสานกันในลักษณะที่เป็นหัวข้อหรือโครงการ
3.บูรณาการโดยการผสมผสานปัญหาและความต้องการของผู้เรียนและของสังคม ผู้เรียนจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้จากวิทยาการต่างๆหลายสาขา รวมทั้งมีทักษะที่จำเป็นเพื่อที่จะแก้ปัญหาสิ่งที่ปรากฎชัดในการเรียนรู้ได้
หลักสูตรกว้าง
          มีจุดมุ่งหมายที่จะส่งเสริมการเรียนการสอนให้เป็นที่น่าสนใจและเร้าใจ ช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและสามารถปรับตนให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมได้เป็นอย่างดี รวมทั้งให้มีพัฒนาการในด้านต่างๆ ทุกด้าน
พัฒนาการ/วิวัฒนาการหลักสูตร หลักสูตรกว้างเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอังกฤษ โดยวิชาที่สอนนี้กล่าวถึงแผ่นดินแถบลุ่มแม่น้ำเทมส์และกิจกรรมต่างๆของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นแผ่นดินนั้น เป็นการนำเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆ หลายวิชามาศึกษาในเวลาเดียวกัน สหรัฐอเมริกาเริ่มนำเอาหลักสูตรนี้มาใช้ครั้งแรกเมื่อปี ค.. 1914 จัดทำเป็นวิชากว้างๆ เรียกว่าสถาบันสังคมและเศรษฐกิจประเทศไทยได้นำหลักสูตรมาใช้ครั้งแรกเมื่อ พ.. 2503 โดยเรียงลำดับเนื้อหาต่างๆที่มีความคล้ายคลึงกันไว้ในหลักสูตรและให้ชื่อวิชาเสียใหม่ให้มีความหมายกว้าง ครอบคลุมวิชาที่นำมาเรียงลำดับไว้
ลักษณะสำคัญของหลักสูตร
1.จุดหมายของหลักสูตรมีความกว้างขวางกว่าหลักสูตรรายวิชา
2.จุดประสงค์ของแต่ละหมวดวิชา เป็นจุดประสงค์ร่วมกันของวิชาต่างๆ ที่นำมารวมกันไว้
3.โครงสร้างหลักสูตรมีลักษณะเป็นการนำเอาเนื้อหาของแต่ละวิชาซึ่งได้เลือกสรรแล้วมาเรียงลำดับกันเข้า
ส่วนดีส่วนเสียของหลักสูตร
ส่วนดี
-ในการสอน ทั้งผู้เรียนและผู้สอนเกิดความเข้าใจและมีทัศนคติเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนกว้างขึ้น
- เป็นหลักสูตรที่ส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างกว้างขวาง เป็นการเอื้ออำนวยต่อการจัดกิจกรรม ที่มีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
-เป็นหลักสูตรที่ทำให้วิชาต่างๆที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันมีความสัมพันธ์กันดีขึ้น
ส่วนเสีย
-ลักษณะของหลักสูตรทำให้การเรียนการสอนไม่ส่งเสริมให้เกิดความรู้เนื้อหาอย่างลึกซึ้ง เข้าทำนองรู้รอบมากกว่ารู้สึก
-การสอนอาจไม่บรรลุจุดประสงค์ เพราะต้องสอนหลายวิชาในขณะเดียวกัน
หลักสูตรประสบการณ์
          เริ่มต้นหลักสูตรนี้มีชื่อว่าหลักสูตรกิจกรรม และเปลี่ยนเป็นหลักสูตรประสบการณ์ในปัจจุบัน  เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่ว่าหลักสูตรเดิมที่ใช้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรรายวิชาหรือหลักสูตรกว้าง ล้วนไม่ส่งเสริมให้ผู้เรียนสนใจและกระตือรือร้นในการเรียนเท่าที่ควรพัฒนาการ/วิวัฒนาการของหลักสูตร หลักสูตรประสบการณ์ถูกมาใช้ครั้งแรกที่โรงเรียนทดลองของมหาวิทยาลัยซิคาโก ในปี ค.. 1896 ถ้าจะให้ผู้เรียนสนใจและเกิดความกระตือรือร้นในการเรียนจะต้องอาศัยแรงกระตุ้น 4 อย่างคือ
1.แรงกระตุ้นทางสังคม
2.แรงกระตุ้นทางสร้างสรรค์
3.แรงกระตุ้นทางการค้นคว้าทดลอง
4.แรงกระตุ้นทางการแสดงออกด้วยคำพูด การกระทำ และทางศิลปะ
ลักษณะสำคัญของหลักสูตร
1.ความสนใจของผู้เรียนเป็นตัวกำหนดเนื้อหาและเค้าโครงหลักสูตร
2.วิชาที่ผู้เรียนทุกคนต้องเรียน คือวิชาที่ผู้เรียนมีความสนใจเรียนกัน
3.โปรแกรมการสอนไม่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า
4.ใช้วิธีแก้ปัญหาเป็นหลักใหญ่ในการเรียนการสอน
ปัญหาของหลักสูตรประสบการณ์
1.ปัญหาการกำหนดวิชาในหลักสูตร หลักสูตรนี้นำเอาแนวความคิดใหม่มาใช้แทนที่จะคิดในรูปแบบของวิชาอย่างหลักสูตรรายวิชา กับมองความสนใจปัจจุบันของผู้เรียนเป็นหลักการกำหนดเนื้อหาจึงทำได้ยาก
2.ปัญหาการจัดแบ่งวิชาเรียนในชั้นต่างๆ ไม่สามารถสร้างความต่อเนื่องของเนื้อหาวิชาระหว่างชั้นเรียนได้และบางทีก็มีการจัดกิจกรรมซ้ำๆกันทุกปี ได้มีการแก้ไขโดยการจัดทำตารางสอนของแต่ละปีขึ้น แต่ก็ไม่ได้ผลเพราะตารางสอนเหล่านั้นเป็นเรื่องของเก่าไม่ได้ชี้ชัดลงไปว่าในปีใหม่ ควรทำอะไรกัน
หลักสูตรรายวิชา
          เป็นหลักสูตรที่ใช้กันมาตั้งแต่ดั้งเดิม โดยโครงสร้างเนื้อหาวิชาในหลักสูตร จะถูกแยกออกจากกันเป็นรายวิชาโดยไม่จำเป็นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ไม่ว่าในด้านเนื้อหาหรือการสอน หลักสูตรของไทยเราที่ยังเป็นหลักสูตรรายวิชา ได้แก่ หลักสูตรมัธยมและอุดมศึกษา
ลักษณะสำคัญของหลักสูตร
1.จุดมุ่งหมายของหลักสูตร มุ่งส่งเสริมพัฒนาการของผู้เรียนโดยใช้วิชาต่างๆเป็นเครื่องมือ
2.จุดมุ่งหมายของหลักสูตรอาจมีส่วนสัมพันธ์กับสังคมหรือไม่ก็ได้ และโดยทั่วไปหลักสูตรนี้ไม่คำนึงถึงผลที่เกิดแก่สังคมเท่าใดนัก
3.จุดประสงค์ของแต่ละวิชาในหลักสูตรเน้นการถ่ายทอดเนื้อหาวิชาเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้และลักษณะในวิชานั้นๆ เป็นสำคัญ
4.โครงสร้างของเนื้อหาวิชาประกอบด้วยเนื้อหาของแต่ละวิชาที่เป็นเอกเทศไม่เกี่ยวข้องกับวิชาอื่น และถูกจัดไว้อย่างมีระบบเป็นขั้นตอนเพื่อสะดวกแก่การเรียนการสอน
5. กิจกรมการเรียนการสอนเน้นเรื่องการถ่ายทอดความรู้ ด้วยการมุ่งให้ผู้เรียนจำเนื้อหาวิชา
6. การประเมินผลการเรียนรู้ มุ่งในเรื่องความรู้ละทักษะในวิชาต่างๆที่ได้เรียนมา
ส่วนดีส่วนเสียของหลักสูตร
ส่วนดี
- จุดมุ่งหมายของหลักสูตรช่วยให้เนื้อหาวิชาเป็นไปโดยง่าย
- เนื้อหาวิชาจะถูกจัดไว้ตามลำดับขั้นอย่างมีระบบเป็นการง่ายและทุ่นเวลาในการเรียนการสอน
-การจัดเนื้อหาวิชาอย่างมีระบบทำให้การเรียนรู้เนื้อหาวิชาดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
-การประเมินผลการเรียนทำได้ง่าย
ส่วนเสีย
-หลักสูตรแบบนี้ทำให้ผู้สอนละเลยการเรียนรู้อื่นๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เรียนเนื้อหา
-หลักสูตรนี้มักจะละเลยความสนใจของผู้เรียนด้วยเหตุผลที่ว่ายึดหลักเหตุผลด้านเนื้อหาสาระของวิชาเกณฑ์โดยไม่คำนึงถึงหลักจิตวิทยา
-หลักสูตรเน้นการถ่ายทอดความรู้เนื้อหาที่กำหนดไว้จึงมักละเลยต่อสภาพและปัญหาของสังคมและท้องถิ่นทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ไม่สามรถนำไปประยุกต์ใช้ในสังคมได้
การปรับปรุงหลักสูตร                                                                                                    
            1. จัดเรียงลำดับเนื้อหาให้ต่อเนื่องกัน คือจัดเนื้อหาที่อยู่ในชั้นเดียวกันหรือระหว่างชั้นให้ต่อเนื่องกัน โดยรักษาความเป็นวิชาของแต่ละวิชาไว้ การจัดมีอยู่ 2 แบบคือ
จัดให้ต่อเนื่องตามแนวนอน คือการจัดเนื้อหาของวิชาหนึ่งให้สัมพันธ์หรือต่อเนื่องกับของอีกวิชาหนึ่งซึ่งอยู่ในชั้นเดียวกัน
จัดให้ต่อเนื่องในแนวตั้ง คือ การจัดเนื้อหาที่อยู่ต่างชั้นกัน
         2. จัดโดยการเชื่อมโยงเนื้อหาเข้าด้วยกัน คือจัดเนื้อหาของแต่ละวิชาให้เชื่อมโยงกัน ในลักษณะที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันทำได้ 2 ระดับ คือ
ระดับความคิด คือการพัฒนาความสามรถทางปัญญา อันได้แก่ความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ เจตคติและความพึงพอใจ
ระดับโครงสร้าง คือ การจัดให้เนื้อหาในแต่ละวิชาเอื้อประโยชน์แต่กันและกัน อีกทั้งยังเกิดประโยชน์ต่อวิชาอื่นๆด้วย
หลักสูตรแกน
          เป็นหลักสูตรที่พยายามจะปลีกตัวออกจากการเรียนที่ต้องแบ่งแยกวิชาออกเป็นรายวิชาย่อยๆ และเพื่อที่จะดึงเอาความต้องการ และปัญหาของสังคมมาเป็นศูนย์กลางของหลักสูตร
พัฒนาการ/วิวัฒนาการของหลักสูตร เริ่มจากการใช้วิชาเป็นแกนกลาง โดยเชื่อมเนื้อหาของวิชาที่สามารถนำมาสัมพันธ์กันได้ เข้าด้วยกัน แล้วกำหนดหัวข้อขึ้นให้มีลักษณะเหมือนเป็นวิชาใหม่เช่น นำเอาเนื้อหาของวิชาชีววิทยา สังคมศึกษา และสุขศึกษามาเชื่อมโยงกันภายใต้หัวข้อ “สุขภาพละอนามัยของท้องถิ่น” โดยหลักสูตรแกนคือหลักสูตรที่ผู้เรียนทุกคนต้องเรียน และเป็นหลักสูตรที่เน้นให้เรื่องปัญหาสังคมและค่านิยมของสังคม โดยมีกำหนดเค้าโครงของสิ่งที่จะสอนไว้อย่างชัดเจน
หลักสูตรแกนในเอเชีย
          ประเทศในภูมิภาคเอเชียที่ใช้หลักสูตรแกนอยู่ในปัจจุบันนี้มีหลายปะเทศ เช่นจีน อินเดีย อินโดนีเซีย เนปาล ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ไทย เวียดนาม ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์ เพื่อช่วยให้มองเห็นภาพของหลักสูตรแกนของประเทศต่างๆในเอเชียชัดเจนยิ่งขึ้นขอนำเอาสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องมาสรุปเปรียบเทียบให้เห็นดังต่อไปนี้
          - ระดับการผสมผสานวิชาในหลักสูตร ที่มีการผสมผสานกันอย่างมากมาย ได้แก่ หลักสูตรของประเทศศรีลงกา ไทย เวียดนาม และนิวซีแลนด์ ผสมผสานระดับปานกลาง ไดแก่ ของจีน อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ส่วนหลักสูตรของเนปาลนั้นมีการผสมผสากันน้อยมาก
ข้อสรุปเกี่ยวกับหลักสูตรแกน
          หลักสูตรแกน เป็นหลักสูตรที่บังคับให้ทุกคนต้องเรียน อาจเป็นหนึ่งของหลักสูตรของแม่บท หรือเป็นตัวหลักสูตรแม่บทก็ได้ จุดเน้นของหลักสูตร จะอยู่ที่วิชาหรือสังคมก็ได้ ส่วนใหญ่จะเน้นสังคม โดยยึดหน้าที่ของบุคคลในสังคมหรือปัญหาของสังคม หรือการสร้างเสริมสังคมเป็นหลัก
หลักสูตรแฝง
          เป็นหลักสูตรที่ไม่ได้กำหนดแผนการเรียนรู้เอาไว้ล่วงหน้า และเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่โรงเรียนไม่ได้ตั้งใจจะจัดให้
หลักสูตรแฝงกับพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านจิตพิสัย
          โดยทั่วไปโรงเรียนจะประสบความสำเร็จมากในการสอนให้เกิดการเรียนรู้ ทางด้านพุทธิพิสัย และทักษะพิสัย ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีการสอนและการประเมินผลที่จัดให้เกิดความสอดคล้องกันได้ง่าย และกระทำได้ง่าย แต่โรงเรียนจะมีปัญหาในการสอนนักเรียนให้เกิดการเรียนรู้ทางด้ายจิตพิสัย เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้โดยการบรรยาย เด็กจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากตัวอย่างและการกระทำของผู้ใหญ่ และผู้อยู่ใกล้ชิดมากกว่า
          หลักสูตรแฝงจะช่วยให้ครู และนักการศึกษาได้แง่คิด  และเข้าใจสัจธรรมเกี่ยวกับการเรียนรู้ในเรื่องเจตคติ ค่านิยม พฤติกรรม คุณธรรม และจริยธรรมของนักเรียน โรงเรียนจึงไม่ควรเน้นและทุ่มเทในด้านการสอนสิ่งเหล่านี้ ตามตัวหลักสูตรปกติมากจนเกินไป หรือเกินความจำเป็น แต่ให้เพิ่มความสนใจแก่หลักสูตรแฝงมากขึ้น
หลักสูตรสัมพันธ์วิชา
          เป็นหลักสูตรรายวิชาที่ได้รับการปรับปรุงเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ การแก้ไขข้อบกพร่องทำโดยการนำเอาเทคนิค การสอนใหม่ๆมาใช้ เช่นให้ผู้เรียนร่วมในการวางแผนการเรียน และให้ผู้เรียน ทำกิจกรรมต่างๆ นอกเหนือจากการท่องจำ เพื่อให้ผู้เรียน รู้เนื้อห้าที่ต้องการ
สำหรับวิธีการที่ใช้ในการสัมพันธ์วิชามีอยู่ 3 วิธี ได้แก่
1.สัมพันธ์ในข้อเท็จจริง คือใช้ข้อเท็จจริงของวิชาส่วนหนึ่งมาช่วยประกอบการสอนอีกวิชาหนึ่ง
2.สัมพันธ์ในหลักเกณฑ์ เป็นการนำเอาหลักเกณฑ์หรือแนวความคิดของวิชาหนึ่งไปใช้อธิบายเรื่องราว หรือแนวความคิดของอีกวิชาหนึ่ง
3.สัมพันธ์ในแง่ศีลธรรม และหลักปฏิบัติในสังคม วิธีนี้คล้ายวิธีที่สองแค่แตกต่างกันที่ว่า แทนที่จะใช้หลักเกณฑ์หรือแนวความคิดเป็นตัวเชื่อมโยง กลับใช้หลักศีลธรรม และหลักปฏิบัติของสังคมเป็นเครื่องอ้างอิงหลักสูตรสัมพันธ์วิชา ช่วยให้ผู้เรียนมีความสนใจในสิ่งที่เรียนมากขึ้น ทำให้ผู้เรียนมองโปรแกรมในการเรียนมากขึ้น และกว้างขวางกว่าเดิม และเปิดทางให้สามารถขยายงานด้านตำราเรียนได้กว้างขวางขึ้น แต่ก็ยังมีข้อบกพร่องที่แก้ไม่ได้ คือ รูปแบบของหลักสูตรยังคงเป็นหลักสูตรรายวิชาอยู่นั่นเอง
หลักสูตรเกลียวสว่าน
          เป็นการจัดเนื้อหา หรือหัวข้อเนื้อหาเดียวกันในทุกระดับชั้น แต่มีความยากง่ายและความลึกซึ้งแตกต่างกัน กล่าวคือ ในชั้นต้นๆจะสอนในเรื่องง่ายๆและค่อยเพิ่มความยาก และความลึกลงไปตามระดับชั้นที่สูงขึ้นไป
ที่มาของแนวความคิดเรื่องหลักสูตรเกลียวสว่าน
          บรูเนอร์ มีความเชื่อว่าในเนื้อหาของแต่ละเนื้อหาวิชาจะมีโครงสร้าง และการจัดระบบที่แน่นอนจึงควรนำความจริงในข้อนี้มาใช้กับการจัดหลักสูตรโดยการจัดลำดับเนื้อหาให้ก้าวหน้าไปเรื่อยๆอย่างมีระบบจากง่ายไปหายาก จากแนวความคิดนี้จึงมีการพัฒนาหลักสูตรในลักษณะบันไดวนหรือเกลียวสว่าน คือให้ลึกและกว้างออกไปเรื่อยๆ ตามอายุและพัฒนาการของเด็ก
หลักสูตรเกลียวสว่านตามแนวคิดของดิวอี้
          ดิวอี้ มีความเชื่อว่า การเจริญงอกงามขึ้นอยู่กับการฝึกใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหาที่ได้มาจากประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนมากกว่าจากปัญหาที่กำหนดให้จากภายนอก และในขณะที่ผู้เรียนฝึกใช้สติปัญญาจากการแก้ปัญหาเหล่านี้ เขาจะได้ความคิดใหม่ๆจากการทำงาน
หลักสูตรสูญ
          เป็นชื่อประเภทของหลักสูตรที่ไม่แพร่หลายและไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก โดยไอส์เนอร์ เขาได้อธิบายถึงความเชื่อของเขาในเรื่องนี้ว่า เป็นหลักสูตรที่ไม่ได้มีปรากฏอยู่ให้เห็นในแผนการเรียนรู้ และเป็นสิ่งที่ในโรงเรียนไม่ได้สอน
 ประเด็นที่ควรพิจารณา
          ในการกำหนดหลักสูตรสูญขึ้นมานั้นมีสิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาอยู่ 2 ประเด็นคือ
          1.กระบวนการทางปัญญา ที่โรงเรียนเน้นและละเลย เป็นกระบวนการทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการรู้ โดยเริ่มจากการรับรูสิ่งต่างๆ ไปจนคิดหาเหตุผลทุกรูปแบบ
          2. เนื้อหาสาระที่มีอยู่และที่ขาดหายไปจากหลักสูตร การนำความคิดของหลักสูตรสูญ  ไปใช้ในการพัฒนาหลักสูตร
          เมื่อจะพิจารณาว่ามีกระบวนการใด หรือเนื้อหาใดขาดไปจากหลักสูตร ก็จะต้องมีการกำหนดกรอบที่เป็นกลางๆเอาไว้อ้างอิง ถ้าหากหลักสูตรไม่ได้ครอบคลุมถึงสิ่งที่เป็นเนื้อหากลางๆที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนหลักสูตรเหล่านั้นก็จะด้อยคุณค่าทันที จากตัวอย่างการพิจารณา นำวิชาตรรกวิทยามาบรรจุในหลักสูตรอนุบาลนั้น ต้องถือว่าต้องถือว่าหลักสูตรสากลของอนุบาลศึกษา จะต้องไม่มีการเรียนวิชาตรรกวิทยา
สรุป
          ความคิดเกี่ยวกับ “ประเภทของหลักสูตร” ที่กล่าวมานี้ จะมีประโยชน์ต่อการประเมินผล และการวิเคราะห์หลักสูตร เป็นการช่วยให้นักพัฒนาหลักสูตรได้หันมาพิจารณาหลักสูตรให้ครบอีกครั้งว่า จุดหมายและเนื้อหาของหลักสูตรที่กำหนดไว้แล้วนั้นเหมาะสมแล้วหรือยัง มีเนื้อหาในกระบวนการคิด และความรู้สึกประเภทใดที่เป็นประโยชน์ และสำคัญควรที่ผู้เรียนรู้ แต่ไม่มีในหลักสูตรก็จะได้ประชุมหารือกันระหว่าง นักพัฒนาหลักสูตร และผู้รับผิดชอบ เพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไขต่อไป
อ้างอิงเว็บ: https://sites.google.com/site/miwpornpich/kar-phathna-hlaksutr/su-model

2.ศึกษาทำความเข้าใจเพิ่มเติมจาก สุเทพ อ่วมเจริญ การพัฒนาหลักสูตร : ทฤษฎีและการปฏิบัติ “การพัฒนาหลักสูตร : การออกแบบหลักสูตร”
ตอบ  ปฏิบัติการ : การออกแบบหลักสูตร
การออกแบบหลักสูตร (Curriculum Design) ตามขั้นตอนของ SU Model เป็นสามเหลี่ยมรูปที่สอง ซึ่งจะนำจุดมุ่งหมายของหลักสูตรมาจัดทำกรอบการปฏิบัติ หลักสูตรที่จัดทำขึ้นเพื่อมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้ได้รับการพัฒนาตามกระบวนการของหลักสูตร สอดคล้องกับคำถามข้อที่ ของไทเลอร์ ที่ถามว่า มีประสบการณ์การศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจัด เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายในการศึกษา ซึ่ง ปฏิบัติการ : การออกแบบหลักสูตร นี้ ได้ศึกษาเอกสารและมีองค์ความรู้ต่าง ๆ ดังนี้
1. โมเดลต้นแบบเชิงวัตถุประสงค์ (Objective Model)
Tyler ได้พัฒนาโมเดลต้นแบบเชิงวัตถุประสงค์ หรือ แบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์ ถือว่าเป็นต้นแบบของการพัฒนาหลักสูตร จากหนังสือ Basic Principles of Curriculum and Instruction ของ Ralph W. Tyler (1949) ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรและการวางแผนการสอน โดยตั้งคำถามพื้นฐานไว้ ข้อ ได้แก่
มีจุดมุ่งหมายทางการศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนต้องแสวงหา (What educational purposes should
มีประสบการณ์ทางการศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจัดขึ้นเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ (What
จะจัดประสบการณ์ทางการศึกษาอย่างไร จึงจะทำให้การสอนมีประสิทธิภาพ (How can these
จะประเมินประสิทธิผลของประสบการณ์ในการเรียนอย่างไร (How can we determine whether
the school seek to attain?) ได้กล่าวถึง การวิเคราะห์ความต้องการจำเป็นของผู้เรียน ปรัชญาการศึกษา จิตวิทยาการเรียนรู้ ที่โรงเรียนต้องนำมาใช้เป็นแนวทางในการกำหนดจุดมุ่งหมายทางการศึกษา
educational experiences can be provided that are likely to attain these purposes?) ได้นิยามความหมายของ ประสบการณ์การเรียนรู้ (learning experiences) หมายถึง ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับสภาวะแวดล้อมภายนอก การเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากการพฤติกรรมเชิงรุกของนักเรียน และยังได้กล่าวถึงหลักการในการเลือกประสบการณ์การเรียนรู้
educational experiences be effectively organized?) การจัดการการสอนที่มีประสิทธิภาพ มีเกณฑ์ในการพิจารณา ดังนี้ ความต่อเนื่อง (continuity) การเรียงลำดับ (sequence) การบูรณาการหรือการเชื่อมโยง (integration)
these purposes are being attained?) การประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนเพื่อให้ทราบว่านักเรียนเกิดการเรียนรู้และมีพัฒนาการตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่หรือไม่
ซึ่งคำถาม ข้อนี้ เป็นคำถามที่จะนำไปสู่ ขั้นตอนในการออกแบบ คือ 1) การกำหนดจุดมุ่งหมาย 2) การออกแบบประสบการณ์ทางการศึกษา 3) การจัดประสบการณ์ทางการศึกษา 4) การประเมินประสิทธิผล
2. การปรับปรุงโมเดลโดยฮิลดา ทาบา
ต่อมาในปี 1962 Taba ได้เสนอลำดับขั้นตอนของกระบวนการพัฒนาหลักสูตรเพื่อปรับปรุงโมเดลให้มีความชัดเจนขึ้น โดยแบ่งออกเป็น ขั้น ได้แก่
วิเคราะห์ความต้องการ
กำหนดจุดประสงค์
เลือกเนื้อหา
จัดการเนื้อหา
เลือกกิจกรรมการสอนเพื่อประสบการณ์ทางการศึกษา
จัดกิจกรรมการสอนเพื่อประสบการณ์ทางการศึกษา
ตรวจสอบความสมดุลและลำดับขั้นตอน
3. รูปแบบการออกแบบหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชา เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และเน้นปัญหาสังคมเป็นสำคัญ
3.1 รูปแบบการออกแบบหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชา
Ellis (2004: 91-96) กล่าวว่า หลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชาเกี่ยวข้องกับความรู้และทักษะของการศึกษาทางด้านศิลปศาสตร์ ซึ่งหมายถึงการศึกษาทางวิชาการ (academic education) ไม่ใช่ทางอาชีวศึกษา เน้นพัฒนาการทางสติปัญญาและเหตุผล สร้างคนให้มีความรู้เพื่อเตรียมตัวเป็นผู้ที่มีความสามารถในการทำงานให้สังคมประชาธิปไตย
ปรัชญาการศึกษาที่เป็นพื้นฐานของหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชา คือ ปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม (Essentialism) ซึ่งมีแนวคิดว่า ความรู้ ความจริง และวัฒนธรรมของได้รับการเลือกสรรแล้วอย่างเหมาะสม หลักสูตรจะยึดเนื้อหาวิชาเป็นสำคัญ และปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยม (Perennialism) ที่มีแนวคิดว่า เน้นการพัฒนาทางด้านสติปัญญาและการใช้เหตุผล เนื้อหาสาระของสิ่งที่เรียน หลักสูตรใช้เนื้อหาวิชาเป็นสิ่งนำทางไปสู่ความสำเร็จทางปัญญา การเรียนการสอนเน้นที่จะสร้างคนให้เป็นคนที่สมบูรณ์
การออกแบบหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชาเน้นสอนให้ผู้เรียนเป็นคนเก่ง
3.2 รูปแบบการออกแบบหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
หลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญให้ความสำคัญต่อพัฒนาการของผู้เรียนแต่ละบุคคลมากกว่าเนื้อหาสาระวิชา ดังนั้นหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญจึงไม่ใชหลักสูตรรายวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ แต่เป็นหลักสูตรแห่งความสนใจและประสบการณ์ (Ellis, 2004: 43) นอกจากนั้นแล้ว Ellis ยังกล่าวว่า การเรียนรู้อย่างมีความหมายของการจัดหลักสูตรแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เกิดจากการที่นักเรียนค้นพบตนเองที่ไม่ใช่เป็นการค้นพบจากความรู้ภายนอก แต่เกิดจากค้นพบตนเองซึ่งเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องเพื่อค้นหาว่าตนเองเป็นใครและต้องการเป็นอะไรในอนาคต
ปรัชญาการศึกษาที่เป็นพื้นฐานของหลักสูตรที่เน้นผู้เรียน คือ ปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) มุ่งเน้นการเรียนรู้ให้ผู้เรียนรู้จักตนเอง โดยให้เรียนรู้จากประสบการณ์ในชีวิตจริง เป็นประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับสังคม
การออกแบบหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเน้นให้ผู้เรียนเป็นคนดี
3.3 รูปแบบการออกแบบหลักสูตรที่เน้นปัญหาสังคมเป็นสำคัญ
หลักสูตรที่เน้นปัญหาสังคมเป็นสำคัญ เป็นการออกแบบที่เน้นปัญหาทางสังคมเป็นสาระ ไม่ใช่มองที่เนื้อหา วิชาเป็นสาระ ปัญหาสังคม ได้แก่ ปัญหาด้านการดำรงชีวิต ปัญหาชีวิต ปัญหาของชุมชน ปัญหาที่เป็นจริงในสังคมโลก ดังนั้น ถ้าโรงเรียนต้องการจัดหลักสูตรที่เน้นปัญหาสังคมเป็นสำคัญ โรงเรียนต้องจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้นักเรียนได้พบกับปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นจริง ๆ ในโลกใบนี้ ไม่ใช่ประเด็นปัญหาสมมติจากแบบเรียน การจัดหลักสูตรให้ดำเนินการเป็นการศึกษาสังคม (Social education) เน้นกระบวนการกลุ่มในการแก้ปัญหา การทำงานร่วมกัน การสร้างทีม การเรียนรู้แบบร่วมมือกัน ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นของการศึกษาในโรงเรียน (Ellis, 2004: 71-74) และ Ellis เห็นว่า นักเรียนเป็นผู้มีความสามารถและพร้อมที่จะปฏิรูปสังคม สะท้อนแนวคิดว่าหลักสูตรไม่ได้อยู่ในกำแพงอีกต่อไปแล้ว ต้องออกมาสู่ชุมชนสังคม ที่ซึ่งนักเรียนและครูสามารถที่จะเปลี่ยนโลกได้
ปรัชญาการศึกษาที่เป็นพื้นฐานของหลักสูตรที่เน้นปัญหาสังคมเป็นสำคัญ ได้แก่ ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม (Reconstructionism) มีแนวคิดว่า การเรียนรู้เป็นการนำความรู้ไปพัฒนาสังคมให้สังคมเป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง การศึกษาจึงเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปรับปรุงสภาพสังคม หรือเป็นเครื่องมือของมนุษย์ในการปฏิรูปสังคม ดังนั้น หลักสูตรที่เน้นปัญหาสังคมเป็นสำคัญมุ่งหวังให้สังคมเป็นสุข
4. หลักการออกแบบหลักสูตร ประการของสก๊อตแลนด์
การออกแบบหลักสูตร ประการของสก๊อตแลนด์ มีหลักการดังต่อไปนี้ การออกแบบหลักสูตรต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาผู้เรียนทั้งในระดับการจัดการและระดับชั้นเรียน กล่าวคือ การนำหลักสูตรไปใช้ต้องมีความต่อเนื่องในการตรวจสอบทบทวน การประเมินและปรับปรุงแก้ไข และในการนำไปใช้ต้องคำนึงถึงความแตกต่างของผู้เรียนและพัฒนาการของแต่ละคนด้วย โดยมีหลักการพื้นฐาน ประการ คือ
กระตุ้นความท้าทายและความพอใจ (Challenge and enjoyment)
ขยายขอบเขตความรู้ (Breadth)
ความก้าวหน้า (Progression)
ความคิดลึกซึ้ง (Depth)
บุคลิกภาพและทางเลือก (Personalisation and choice)
การเชื่อมโยง (Coherence)
ความสัมพันธ์ (Relevance)
5. แนวคิดการออกแบบหลักสูตร ที่ส่งเสริมความเป็นเลิศในการเรียนรู้และการสอน ของมหาวิทยาลัยกริฟฟิธ
มหาวิทยาลัยกริฟฟิธ ได้เสนอหลักการที่ส่งเสริมความเป็นเลิศในการเรียนและการสอนไว้ว่า สถาบันการศึกษาควรจัดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ให้สัมพันธ์กับกิจกรรมการสอน จะสะท้อนผลการเรียนรู้ในเชิงบวก ส่งผลต่อทักษะ ความรู้ เจตคติและพฤติกรรมของผู้เรียน แนวคิดนี้ประกอบด้วยหลักการ ประการ ได้แก่
สร้างสรรค์ประสบการณ์การเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีส่วนร่วม มีแรงจูใจและมีแรงกระตุ้นปัญญา
ส่งเสริมสนับสนุนให้รู้จักการสืบเสาะค้นหา การตั้งคำถามอย่างมีวิจารณญาณ และการมีความคิด
เน้นความสำคัญ ความเกี่ยวโยง และการบูรณาการทฤษฎีและองค์ความรู้เพื่อพัฒนาไปสู่การแก้ปัญหาที่
ส่งเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ที่พัฒนาความสามารถระหว่างวัฒนธรรมที่ผู้เรียนมีความแตกต่างกัน
คุณค่าและความทรงจำของแต่ละบุคคลและวัฒนธรรมที่หลาหลาย นำมาเป็นมาตรการในบริบทของการ
การเพิ่มการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ที่มีผลต่อประสิทธิผลของหลักสูตร การสอนและกลยุทธของการ
การปรับปรุงการสอนอย่างต่อเนื่องเป็นการพัฒนาวิชาชีพ
สร้างสรรค์ บนพื้นฐานของผลการวิจัยนำไปใช้ได้จริง
สนับสนุนและเกี่ยวข้องกับผู้เรียนประเมิน
6. การออกแบบหลักสูตรรายวิชา ตามแนวคิดของเวสมินส์เตอร์ เอ็กแชงจ์ มหาวิทยาลัยเวสมินส์เตอร์
เวสมินส์เตอร์ เอ็กแชงจ์ มหาวิทยาลัยเวสมินส์เตอร์ ได้เสนอแนะการออกแบบหลักสูตรรายวิชา (Course design) ในลักษณะของคำถามเพื่อให้นักพัฒนาใช้เป็นแนวทางในการออกแบบหลักสูตรรายวิชา ดังนี้
ผู้ออกแบบคาดหวังว่าอะไรที่ช่วยให้หลักสูตรนี้ประสบความสำเร็จ
สถาบันการศึกษาหรือสิ่งแวดล้อมภายนอกอะไรบ้างที่มีอิทธิพลต่อหลักสูตรรายวิชา
การประกันคุณภาพมีความสัมพันธ์กับหลักสูตรอย่างไร
อะไรเป็นแบบจำลองที่ตรงกับความประสงค์ในการออกแบบหลักสูตร
อะไรเป็นจุดหมายและผลการเรียนรู้ของหลักสูตร
การประเมินผลการเรียนรู้ที่คาดหวังอย่างไร
อะไรเป็นกลยุทธในการเรียนรู้ การสอน และการประเมิน
จะต้องปรับพื้นฐานความรู้ก่อนที่จะเรียนรายวิชาหรือไม่
จะส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างไร การวางแผนพัฒนาผู้เรียนในการเรียนรู้ตามหลักสูตรอย่างไร
หลักสูตรจะพัฒนาผู้เรียนที่มีความหลากหลายหรือไม่
7. การออกแบบหลักสูตรด้วยแนวคิดวัตถุประสงค์เป็นฐาน
ข้อดี (Advantages) และข้อจำกัด (Disadvantages) ในการออกแบบหลักสูตรด้วยแนวคิดวัตถุประสงค์เป็นฐาน
ข้อดี (Advantages)
ข้อจำกัด (Disadvantages)
1. วัตถุประสงค์ที่ดี และมีรายละเอียดของผลการเรียนรู้หรือ
การพรรณนาความสามารถ ช่วยให้ผู้สอนและผู้เรียนเห็นภาพพฤติกรรม
ที่คาดหวังไว้อย่างชัดเจนเมื่อสอนหรือเรียนจบรายวิชาซึ่งจะสามารถช่วยใน
การจัดทิศทางและเกิดเสถียรภาพในรายวิชา
2. วัตถุประสงค์มิได้จำกัดอยู่เฉพาะประเด็นด้านวิชาการในรายวิชาใด
รายวิชาหนึ่งแต่ใช้กลยุทธ์วัตถุประสงค์เป็นฐานในการวางแผน
และการปฏิบัติงาน
3. ผลการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องชัดเจนช่วยในการปรับวิธีสอนให้บรรลุตามวัตถุประสงค์
ที่ตั้งไว้ ซึ่งวัตถุประสงค์ต้องไม่จำกัดให้อยู่เพียงในกรอบที่จัดไว้   อาจใช้หลากหลายทางเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมาย
4. ผู้สอนซึ่งเป็นผู้กำหนดวัตถุประสงค์เป็นผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีการประเมิน
เพราะผู้สอนทราบดีว่าควรประเมินด้วยวิธีใด อย่างไร
1. วัตถุประสงค์เป็นผลสุดท้ายของการพิจารณาคุณค่าบางส่วนของผู้เรียนคนใดคนหนึ่ง
2. การสอนและการเรียนรู้อาจถูกกำหนดมากเกินไป จนทำให้ความคิดริเริ่มเกิดการชะงัก
3. ผลการเรียนรู้และการพรรณนาความสามารถยาก และใช้เวลาในการสร้าง
4. ควรทบทวนวัตถุประสงค์และผลการเรียนรู้บ่อย ๆ ไม่ใช่พิจารณาเมื่อใกล้จะประสบผลสำเร็จในรายวิชา

8. วัสัยทัศน์ และพันธกิจของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์
วิสัยทัศน์
เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งสังคมการประกอบการ (The leading University of Entrepreneurs)
พันธกิจ (Mission)
1. ผลิตบัณฑิตด้านศิลปวิทยาที่มีคุณภาพ สามารถก้าวสู่สังคมการประกอบการ
2. สร้างงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรม และงานสร้างสรรค์ที่มีคุณค่า สามารถตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนและสังคม
3. เป็นศูนย์กลางบริการวิชาการแก่สังคมที่ตอบสนองความต้องการของชุมชนในเขตท้องถิ่น
4. ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม และรักษาสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญกับภูมิปัญญาไทย
5. บริหารจัดการเพื่อพัฒนาองค์กรเข้าสู่องค์กรคุณภาพ
6. พัฒนาบุคลากรให้เป็นมืออาชีพ
7. เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีระดับนานาชาติ
ตารางที่ 2 ปฏิบัติการการออกแบบหลักสูตร
กระบวนการพัฒนาหลักสูตร/ความรู้-ทักษะ-ความสามารถ
1) การทำความรู้ที่มีอยู่ให้กระจ่างแจ้ง
2) การระบุ การได้รับและการเข้าใจข้อมูลใหม่
3) ยืนยันความถูกต้องและการใช้ข้อมูลใหม่
การออกแบบหลักสูตร – มีประสบการณ์การศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจัด เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายทางการศึกษา
1. หลักการและเหตุผลในการพัฒนาหลักสูตร (Tyler’s rationale) ซึ่งเน้นว่าการพัฒนาหลักสูตรและการสอนจะต้องตอบคำถามพื้นฐาน ประการและลักษณะเด่น คือ ไทเลอร์ใช้จุดประสงค์เป็นตัวกำหนดควบคุมการเลือกและจัดประสบการณ์การเรียนรู้
2. รูปแบบการออกแบบหลักสูตรแบ่งออกเป็น เน้นเนื้อหาวิชา เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และเน้นปัญหาสังคมเป็นสำคัญ
3. หลักการออกแบบหลักสูตร ประการของ สก๊อตแลนด์ต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาผู้เรียนทั้งในระดับการจัดการและระดับชั้นเรียน
4. มหาวิทยาลัยกริฟฟิธ นำเสนอหลักการที่ส่งเสริมความเป็นเลิศในการเรียนและการสอนไว้ว่า สถาบัน การศึกษา ควรจัดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ให้สัมพันธ์กับกิจกรรมการสอน จะสะท้อนผลการเรียนรู้ในเชิงบวก ส่งผลต่อทักษะ ความรู้ เจตคติและพฤติกรรมของผู้เรียน
5. ข้อดีในการออกแบบหลักสูตรด้วยแนวคิดวัตถุประสงค์เป็นฐาน จะช่วยให้ผู้สอนและผู้เรียนเห็นผลการเรียนรู้และวิธีการประเมินที่ชัดเจนขึ้น
6. พันธกิจของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์เป็นศูนย์กลางบริการวิชาการแก่สังคมที่ตอบสนองความต้องการของชุมชนในเขตท้องถิ่น
วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล หลักการและแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมครูภาษาอังกฤษด้านภาษาศาสตร์ประยุกต์เบื้องต้นเพื่อให้เกิดทักษะอาชีพและการเรียนรู้ และเรียนรู้เพื่อปฏิบัติได้ (Learning to do) เป็นการศึกษาที่มุ่งเน้นพัฒนาความสามารถ ความชำนาญและมีสมรรถนะในวิชาชีพ
หลักสูตรนี้มีพันธกิจ ดังต่อไปนี้
1. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นความรู้ ความสามารถในด้านภาษาศาสตร์ประยุกต์
2. พัฒนาผู้เข้ารับการอบรมให้มีความรู้ ความสามารถในด้านภาษาศาสตร์ประยุกต์
3. พัฒนาผู้เข้ารับการอบรมให้มีความรู้ ความเข้าใจในระบบเสียงและสามารถออกเสียงภาษาอังกฤษในชั้นเรียนได้อย่างถูกต้อง
4. พัฒนาผู้เข้ารับการอบรมให้มีความรู้ ความเข้าใจในระบบคำและสามารถสร้างคำและเข้าใจความหมายของคำโดยตรงและโดยอ้อมได้อย่างถูกต้อง
5. พัฒนาผู้เข้ารับการอบรมให้มีความรู้ ความเข้าใจโครงสร้างทางไวยากรณ์
6. พัฒนาผู้เข้ารับการอบรมให้มีความรู้ ความเข้าใจในหน้าที่ของภาษาในบริบทที่แตกต่างกัน เพื่อสามารถใช้ภาษาได้อย่างเหมาะสมตามสถานการณ์
7.ยกระดับความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของครู
8. ส่งเสริมให้ผู้เข้ารับการอบรมเกิดความตระหนักถึงคุณค่าของภาษาศาสตร์ประยุกต์

เอกสารอ้างอิง
สุเทพ อ่วมเจริญ. (2557). การพัฒนาหลักสูตร: ทฤษฎีและการปฏิบัติ (พิมพ์ครั้งที่ 6). นครปฐม:
โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์.
Ellis, A.K. (2004). Exemplars of Curriculum Theory. USA: Eye on Education.
Tyler, R.W. (1969). Basic Principles of Curriculum and Instruction. Paperback edition Chicago andLondon: University of Chicago Press.

อ้างอิงจากเว็บ: https://www.gotoknow.org/posts/599332



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น