สรุปองค์ความรู้การพัฒนาหลักสูตร
การวางแผนพัฒนาหลักสูตร
นักพัฒนาหลักสูตรต้องมีความรู้เกี่ยวกับการระบุเป้าหมายของหลักสูตรที่มุ่งเน้น
- ความรู้ (K) - ผู้เรียน (L)
- สังคม (S)
พื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำหลักสูตร
ปรัชญาการศึกษาที่สำคัญ
พื้นฐานด้านจิตวิทยา
พื้นฐานด้านสังคมและวัฒนธรรม
แนวคิดสี่เสาหลัก
เป็นหลักสำคัญ 4 ประการของการศึกษาตลอดชีวิต
ตามคาอธิบายของคณะกรรมาธิการนานาชาติว่าด้วยการศึกษาในคริสต์ศตวรรษที่ 21 ซึ่งได้เสนอรายงานเรื่อง Learning : The Treasure Within ต่อองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO)
เมื่อ ค.ศ. 1995 ว่า การศึกษาตลอดชีวิต
ประกอบด้วย
1. เสาหลักการศึกษาประการแรก คือ การศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพ (Learning to Know) ได้แก่ การเรียนเพื่อรู้
2. เสาหลักการศึกษาประการที่ 2 คือ การศึกษาเพื่อพัฒนาสมรรถภาพ (Learning to do) ได้แก่เรียนเพื่อทำได้
3. เสาหลักการศึกษาประการที่ 3 คือ การศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพ (Learning to live together) ได้แก่ การใช้ความรู้ความสามารถเพื่อสังคมส่วนรวม
4. เสาหลักการศึกษาประการที่ 4 คือ การศึกษาเพื่อพัฒนามนุษยภาพ (Learning to be)ได้แก่การพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
1. เสาหลักการศึกษาประการแรก คือ การศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพ (Learning to Know) ได้แก่ การเรียนเพื่อรู้
2. เสาหลักการศึกษาประการที่ 2 คือ การศึกษาเพื่อพัฒนาสมรรถภาพ (Learning to do) ได้แก่เรียนเพื่อทำได้
3. เสาหลักการศึกษาประการที่ 3 คือ การศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพ (Learning to live together) ได้แก่ การใช้ความรู้ความสามารถเพื่อสังคมส่วนรวม
4. เสาหลักการศึกษาประการที่ 4 คือ การศึกษาเพื่อพัฒนามนุษยภาพ (Learning to be)ได้แก่การพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
ทักษะในการดำรงชีวิตของคนในศตวรรตที่ 21
3Rs
+ 7Cs
3R ได้แก่ Reading
(อ่านออก) , (W)Riting (เขียนได้) และ
(A)Rithmetics (คิดเลขเป็น)
และเพิ่มเติมจาก อ. ดร.สุเทพ อ่วมเจริญ : Relevancy (ความสอดคล้อง) Relationship (สัมพันธภาพ) และ Rigor (ความเคร่งครัด)
7C ได้แก่
และเพิ่มเติมจาก อ. ดร.สุเทพ อ่วมเจริญ : Relevancy (ความสอดคล้อง) Relationship (สัมพันธภาพ) และ Rigor (ความเคร่งครัด)
7C ได้แก่
-
Critical thinking & problem solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
และทักษะในการแก้ปัญหา)
- Creativity & innovation (ทักษะด้านการสร้างสรรค์
และนวัตกรรม) - Cross-cultural understanding (ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม
ต่างกระบวนทัศน์)
- Collaboration, teamwork & leadership (ทักษะด้านความร่วมมือการทำงาน และภาวะผู้นำ)
- Communications, information & media literacy (ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ)
- Computing & ICT literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)
- Career & learning skills (ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้)
- Collaboration, teamwork & leadership (ทักษะด้านความร่วมมือการทำงาน และภาวะผู้นำ)
- Communications, information & media literacy (ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ)
- Computing & ICT literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)
- Career & learning skills (ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้)
1.
ได้รับและประยุกต์ใช้แก่นความรู้ (core knowledge) และทักษะการคิดซึ่งจาเป็นต่อยุคข้อมูล
2. แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมและความยืดหยุ่นกับสมาชิกทางธุรกิจและชุมชนเพื่อให้ถึงจุดหมาย
3. ทาการตัดสินใจและแก้ปัญหาอย่างมีคุณธรรมจริยธรรมและมีความร่วมมือ
4. ใช้เทคโนโลยีเพื่อรวบรวม วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลสาหรับการประยุกต์ใช้
5. แสดงให้เห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในทางบวกที่ให้คุณค่าต่อภาษา วัฒนธรรมและผู้คนอันหลากหลาย
6.แสดงให้เห็นถึงภาวะผู้นาซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นให้ประสบความสาเร็จ เป็นประโยชน์และทางานร่วมกัน
การออกแบบหลักสูตร
2. แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมและความยืดหยุ่นกับสมาชิกทางธุรกิจและชุมชนเพื่อให้ถึงจุดหมาย
3. ทาการตัดสินใจและแก้ปัญหาอย่างมีคุณธรรมจริยธรรมและมีความร่วมมือ
4. ใช้เทคโนโลยีเพื่อรวบรวม วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลสาหรับการประยุกต์ใช้
5. แสดงให้เห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในทางบวกที่ให้คุณค่าต่อภาษา วัฒนธรรมและผู้คนอันหลากหลาย
6.แสดงให้เห็นถึงภาวะผู้นาซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นให้ประสบความสาเร็จ เป็นประโยชน์และทางานร่วมกัน
การออกแบบหลักสูตร
ทฤษฎีของเบญจมิน
บลูม และคณะ (Benjamin
Bloom and other 1956)
Bloom ได้แบ่งการเรียนรู้เป็น 6 ระดับ
Bloom ได้แบ่งการเรียนรู้เป็น 6 ระดับ
1.
ความรู้ที่เกิดจากความจำ (knowledge) ซึ่งเป็นระดับล่างสุด
2. ความเข้าใจ (Comprehension)
3. การประยุกต์ (Application)
4. การวิเคราะห์ ( Analysis) สามารถแก้ปัญหา ตรวจสอบได้
5. การสังเคราะห์ ( Synthesis) สามารถนาส่วนต่างๆ มาประกอบเป็นรูปแบบใหม่ได้ให้แตกต่างจากรูปเดิม เน้นโครงสร้างใหม่
6. การประเมินค่า ( Evaluation) วัดได้ และตัดสินได้ว่าอะไรถูกหรือผิด ประกอบการตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุผลและเกณฑ์ที่แน่ชัด
2. ความเข้าใจ (Comprehension)
3. การประยุกต์ (Application)
4. การวิเคราะห์ ( Analysis) สามารถแก้ปัญหา ตรวจสอบได้
5. การสังเคราะห์ ( Synthesis) สามารถนาส่วนต่างๆ มาประกอบเป็นรูปแบบใหม่ได้ให้แตกต่างจากรูปเดิม เน้นโครงสร้างใหม่
6. การประเมินค่า ( Evaluation) วัดได้ และตัดสินได้ว่าอะไรถูกหรือผิด ประกอบการตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุผลและเกณฑ์ที่แน่ชัด
1.
ปริเขตพุทธพิสัย (Cognitive Domain) หมายถึง
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสมอง เช่น การเรียนรู้ความคิดรวบยอด
2. ปริเขตจิตพิสัย(Affective Domain) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ เช่น ความเชื่อ ความสนใจ เจตคติ ค่านิยม
3. ปริเขตทักษะพิสัย(Psychomotor Domain ) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายเพื่อให้เกิดความชานาญ หรือทักษะ เช่น การว่ายน้า เล่นกีฬาต่างๆ เล่นดนตรี
การจัดหลักสูตร
การจัดระบบหลักสูตรที่ดีต้องมีหลักพิจารณา 6 ประการ
2.1 การกาหนดขอบข่ายหลักสูตร (Scope) คือการกาหนดเนื้อหา สาระการเรียนรู้ หัวข้อประเด็นสาคัญต่างๆ แนวคิด ค่านิยม หรือคุณธรรมที่สาคัญสาหรับผู้เรียนในรายวิชาต่างๆของแต่ละระดับชั้น 2.2 การจัดลาดับการเรียนรู้ (Sequence) คือการจัดลาดับก่อนหลังของเนื้อหา ควรจัดลาดับจากง่ายไปยาก
2.3 ความต่อเนื่อง (Continuity) คือการจัดเนื้อหา ประสบการณ์การเรียนรู้ ทักษะต่างๆให้มีความต่อเนื่องตลอดหลักสูตร
2.4 ความสอดคล้องเชื่อมโยง (Articulation) คือเนื้อหา ประสบการณ์การเรียนรู้ และทักษะที่อยู่ในระดับชั้นเดียวกันสอดคล้องเชื่อมโยงกันได้ แม้ต่างวิชากันก็ตาม
2.5 การบูรณาการ (Integration) คือการจัดขอบข่ายเนื้อหาและประสบการณ์การเรียนรู้ในหลักสูตรให้มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันจากหัวข้อหนึ่งไปยังอีกหัวข้อหนึ่งของรายวิชานั้น หรือจากรายวิชาหนึ่งไปอีกรายวิชาที่มีความเกี่ยวข้องกัน
2.6 ความสมดุล (Balance) คือความสมดุลของเนื้อหา ประสบการณ์การเรียนรู้ และทักษะของรายวิชาต่างๆ ที่สำคัญคือความสมดุลระหว่างเนื้อหาสาระกับวุฒิภาวะของผู้เรียน
2. ปริเขตจิตพิสัย(Affective Domain) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ เช่น ความเชื่อ ความสนใจ เจตคติ ค่านิยม
3. ปริเขตทักษะพิสัย(Psychomotor Domain ) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายเพื่อให้เกิดความชานาญ หรือทักษะ เช่น การว่ายน้า เล่นกีฬาต่างๆ เล่นดนตรี
การจัดหลักสูตร
การจัดระบบหลักสูตรที่ดีต้องมีหลักพิจารณา 6 ประการ
2.1 การกาหนดขอบข่ายหลักสูตร (Scope) คือการกาหนดเนื้อหา สาระการเรียนรู้ หัวข้อประเด็นสาคัญต่างๆ แนวคิด ค่านิยม หรือคุณธรรมที่สาคัญสาหรับผู้เรียนในรายวิชาต่างๆของแต่ละระดับชั้น 2.2 การจัดลาดับการเรียนรู้ (Sequence) คือการจัดลาดับก่อนหลังของเนื้อหา ควรจัดลาดับจากง่ายไปยาก
2.3 ความต่อเนื่อง (Continuity) คือการจัดเนื้อหา ประสบการณ์การเรียนรู้ ทักษะต่างๆให้มีความต่อเนื่องตลอดหลักสูตร
2.4 ความสอดคล้องเชื่อมโยง (Articulation) คือเนื้อหา ประสบการณ์การเรียนรู้ และทักษะที่อยู่ในระดับชั้นเดียวกันสอดคล้องเชื่อมโยงกันได้ แม้ต่างวิชากันก็ตาม
2.5 การบูรณาการ (Integration) คือการจัดขอบข่ายเนื้อหาและประสบการณ์การเรียนรู้ในหลักสูตรให้มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันจากหัวข้อหนึ่งไปยังอีกหัวข้อหนึ่งของรายวิชานั้น หรือจากรายวิชาหนึ่งไปอีกรายวิชาที่มีความเกี่ยวข้องกัน
2.6 ความสมดุล (Balance) คือความสมดุลของเนื้อหา ประสบการณ์การเรียนรู้ และทักษะของรายวิชาต่างๆ ที่สำคัญคือความสมดุลระหว่างเนื้อหาสาระกับวุฒิภาวะของผู้เรียน
เมื่อได้หลักพิจารณาทั้ง 6 ประการข้างต้นแล้ว
จากนั้นพิจารณารูปแบบของการออกแบบหลักสูตร ดังนี้
1. การออกแบบหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชา (Subject-centered Designs)
- หลักสูตรแบบรายวิชา (subject design)
- หลักสูตรแบบสาขาวิชา (discipline design)
- หลักสูตรหมวดวิชา (broad fields design)
- หลักสูตรสัมพันธ์วิชา (correlation design)
- หลักสูตรเน้นกระบวนการ (process design)
2. การออกแบบหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (Learner-centered Designs)
- หลักสูตรเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (child – centered designs)
- หลักสูตรเน้นประสบการณ์ (experience – centered designs)
- หลักสูตรแบบจิตนิยม (romantic /radical designs)
- หลักสูตรมนุษยนิยม (humanistic designs)
3. การออกหลักสูตรที่เน้นปัญหาสังคมเป็นสำคัญ (Problem-centered Designs) - หลักสูตรเน้นสถานการณ์ของชีวิต (life – situations designs)
- หลักสูตรแกน (core designs)
- หลักสูตรเน้นปัญหาและปฏิรูปสังคม (social problems and reconstructionist designs)
การประเมินหลักสูตร
1. การออกแบบหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชา (Subject-centered Designs)
- หลักสูตรแบบรายวิชา (subject design)
- หลักสูตรแบบสาขาวิชา (discipline design)
- หลักสูตรหมวดวิชา (broad fields design)
- หลักสูตรสัมพันธ์วิชา (correlation design)
- หลักสูตรเน้นกระบวนการ (process design)
2. การออกแบบหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (Learner-centered Designs)
- หลักสูตรเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (child – centered designs)
- หลักสูตรเน้นประสบการณ์ (experience – centered designs)
- หลักสูตรแบบจิตนิยม (romantic /radical designs)
- หลักสูตรมนุษยนิยม (humanistic designs)
3. การออกหลักสูตรที่เน้นปัญหาสังคมเป็นสำคัญ (Problem-centered Designs) - หลักสูตรเน้นสถานการณ์ของชีวิต (life – situations designs)
- หลักสูตรแกน (core designs)
- หลักสูตรเน้นปัญหาและปฏิรูปสังคม (social problems and reconstructionist designs)
การประเมินหลักสูตร
จากแผนภาพการประเมินหลักสูตรจะแบ่งออกเป็น
3 ระยะ
1. การประเมินหลักสูตรก่อนนาหลักสูตรไปใช้
จะเป็นการประเมินเอกสารหลักสูตร ตรวจสอบคุณภาพขององค์ประกอบต่างๆว่าจุดหมาย
จุดประสงค์ โครงสร้างเนื้อหาสาระ และวิธีการวัดและประเมินผลนักเรียนมีความสอดคล้อง
เหมาะสม ครอบคลุม และถูกต้องตามหลักการพัฒนาหลักสูตร เหมาะกับการนาไปปฏิบัติหรือไม่
โดยจะทาการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ
2. การประเมินหลักสูตรระหว่างการดาเนินการใช้หลักสูตร จะเป็นการประเมินการนาไปใช้ว่านาไปใช้ได้ดีกับสถานการณ์จริงเพียงใด การจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรทาอย่างไร มีปัญหาอุปสรรคอะไรในการใช้หลักสูตรเพื่อจะได้แก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นและสามารถใช้หลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ และการประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตร เป็นการตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน ซึ่งประกอบด้วยสัมฤทธิผลทางวิชาการและสัมฤทธิ์ผลที่ไม่ใช่ทางวิชาการ ซึ่งเมื่อพบข้อผิดพลาดสามารถแก้ไขได้ในทันที
3. การประเมินหลักสูตรหลังการใช้หลักสูตรจะเป็นการประเมินระบบหลักสูตร คือ การประเมินที่ลึกล้าและจะประเมินอย่างละเอียดกับทุกๆองค์ประกอบที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักสูตร เพื่อเป็นการประเมินว่าหลักสูตรนี้ดีจริง สามารถนาไปใช้ได้จริง มีข้อผิดพลาดตรงนี้ ต้องแก้ไขอย่างนี้ ถือเป็นการประเมินที่สมบูรณ์และครอบคลุมมากที่สุด
2. การประเมินหลักสูตรระหว่างการดาเนินการใช้หลักสูตร จะเป็นการประเมินการนาไปใช้ว่านาไปใช้ได้ดีกับสถานการณ์จริงเพียงใด การจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรทาอย่างไร มีปัญหาอุปสรรคอะไรในการใช้หลักสูตรเพื่อจะได้แก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นและสามารถใช้หลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ และการประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตร เป็นการตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน ซึ่งประกอบด้วยสัมฤทธิผลทางวิชาการและสัมฤทธิ์ผลที่ไม่ใช่ทางวิชาการ ซึ่งเมื่อพบข้อผิดพลาดสามารถแก้ไขได้ในทันที
3. การประเมินหลักสูตรหลังการใช้หลักสูตรจะเป็นการประเมินระบบหลักสูตร คือ การประเมินที่ลึกล้าและจะประเมินอย่างละเอียดกับทุกๆองค์ประกอบที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักสูตร เพื่อเป็นการประเมินว่าหลักสูตรนี้ดีจริง สามารถนาไปใช้ได้จริง มีข้อผิดพลาดตรงนี้ ต้องแก้ไขอย่างนี้ ถือเป็นการประเมินที่สมบูรณ์และครอบคลุมมากที่สุด
ปฏิบัติการหลักสูตร
1. แบบจำลองการพัฒนาหลักสูตร(Curriculum Development Model)
ไทเลอร์ กล่าวว่า ในการพัฒนาหลักสูตรนั้นควรจะตอบคำถามพื้นฐานได้ 4 ประการ คือ
1)
มีจุดมุ่งหมายทางการศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนตั้งใจจะก่อให้เกิดแก่ผู้เรียน
2)
มีประสบการณ์ทางการศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจัดขึ้นเพื่อช่วยให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
3)
จะจัดประสบการณ์ทางการศึกษาอย่างไรจึงจะมีประสิทธิภาพ
4) ประเมินผลประสบการณ์อย่างไรจึงจะตัดสินใจได้ว่าบรรลุถึงจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
หากพิจารณาคำถามดังกล่าวมา จะเห็นว่าเป็นคำถามที่แสดงองค์ประกอบของหลักสูตรและยังแสดงลำดับขั้นกระบวนการพัฒนาหลักสูตรด้วย รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์อาจจัดเป็นขั้นตอนได้ดังนี้
1) กำหนดจุดมุ่งหมายชั่วคราว กำหนดขึ้นโดยอาศัยข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียน สังคม
และเนื้อหาวิชาเป็นพื้นฐาน
2) กำหนดจุดมุ่งหมายที่แน่นอน เกิดจากการนำเอาจุดมุ่งหมายชั่วคราวไปตรวจสอบ กลั่นกรองด้วยทฤษฎีการเรียนรู้ ปรัชญาการศึกษา และปรัชญาสังคม แล้วปรับปรุงให้เหมาะสมสอดคล้องกัน
3) เลือกประสบการณ์การเรียนรู้
4) กำหนดประสบการณ์การเรียนรู้
5) กำหนดการประเมินผล
SU Model คือ
รูปแบบจำลองโลกแห่งการศึกษา โดยประกอบด้วยวงกลม
ซึ่งเปรียบเสมือนโลกที่มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ
คือ 1) พื้นฐานทางปรัชญา 2) พื้นฐานทางจิตวิทยา และ 3) พื้นฐานทางสังคม
โดยมีสามเหลี่ยมแห่งการศึกษาที่มีองค์ประกอบ 3 ด้าน
ได้แก่
1) ด้านความรู้ กำกับด้วยปรัชญาทางการศึกษา 2 ปรัชญา คือ
ปรัชญาสารัตถนิยม (Essentialism) ซึ่งมีแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนเพื่อเป็นการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม
ประเพณี และ ปรัชญานิรันดรนิยม (Perenialism) ที่มีแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนด้วยเหตุผล
เรียนรู้ในสิ่งที่เป็นเนื้อหาสาระที่มั่นคง
2) ด้านผู้เรียน กำกับด้วยปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) ซึ่ง มีแนวคิดที่ให้บุคคลมีเสรีภาพในการเลือกด้วยตนเอง
มีแนวทางการจัดการศึกษาโดยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเลือกประสบการณ์ในการเรียน
รู้ด้วยตนเอง
3) ด้านสังคม จะกำกับด้วยปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม (Reconstructionism) โดยมีแนวคิดในการจัดการศึกษาให้กับผู้เรียนควรเป็นไปเพื่อการพัฒนาสังคม
เนื่องจากสังคมมีปัญหา
ใน การพัฒนาหลักสูตรการศึกษาต้องตอบสนองด้านผู้เรียน
ด้านสังคมและด้านความรู้ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานทางการพัฒนาที่สำคัญ คือ พื้นฐานทางสังคม
พื้นฐานทางจิตวิทยาและพื้นฐานทางปรัชญาและภายในสามเหลี่ยมการศึกษาจะประกอบ
ด้วยสามเหลี่ยมเล็กๆ4 ภาพ
ซึ่งเป็นการจำลองขั้นตอนในการจัดทำหลักสูตรของTyler โดยประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1คือ การวางแผน (Planning) ซึ่งจะเห็นว่ากำกับด้วยความรู้ (Knowledge) และจะสอดคล้องกับคำถามที่หนึ่งของไทเลอร์ คือ
มีจุดมุ่งหมายอะไรบ้างในการศึกษาที่โรงเรียนต้องแสวงหา
เพราะว่าหลักสูตรต้องวางแผนให้มีเนื้อหาครบคลุมในสิ่งที่ผู้เรียนต้องรู้และ
ต้องเรียน
ขั้นตอนที่ 2 คือ การออกแบบ (Design) ซึ่งจะเห็นว่ากำกับด้วยผู้เรียน
(Learner) และจะสอดคล้องกับคำถามที่สองของไทเลอร์ คือ
มีประสบการณ์การศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจัด
เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายในการศึกษา เพราะว่าหลักสูตรต้องออกแบบมา
เพื่อให้จัดกิจกรรมหรือประสบการณ์ที่ก่อให้เกิดความรู้แก่นักเรียน
ขั้นตอนที่ 3 คือ การจัดการหลักสูตร (Organize) ซึ่งจะเห็นว่ากำกับด้วยผู้เรียน
(Learner), ความรู้ (Knowledge) และสังคม (Society)
และจะสอดคล้องกับคำถามที่สามของไทเลอร์
คือจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
เพราะว่าการจัดการหลักสูตรให้ได้ประสิทธิภาพ คือ
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิ
เพื่อให้นักเรียนเกิดความรู้และบรรลุวัตถุประสงค์พร้อมกับสามารถนำความรู้
ที่ได้ไปใช้ในการอยู่ในสังคม
ขั้นตอนที่ 4 คือ การประเมิน (Evaluate) ซึ่งจะเห็นว่ากำกับด้วยสังคม
(Society) และจะสอดคล้องกับคำถามที่สี่ของไทเลอร์ คือ
ประเมินประสิทธิ์ผลของประสบการณ์ในการเรียนอย่างไร เพราะว่าการประเมินผลการเรียน
ความรู้และการจัดการเรียนการสอนจะทำให้นักเรียนได้ความรู้ที่สามารถนำไปใช้ ในสังคม
3 3) การตรวจสอบคุณภาพหลักสูตร
การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร คือ
การที่ศึกษาความเป็นไปได้ของหลักสูตรในการนำไปใช้ และเป็นการตรวจสอบความถูกต้อง
ครบถ้วนของหลักสูตร
ที่หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นก็จะต้องทำการแก้ไขก่อนนำไปใช้โดยการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร
ตรวจสอบสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้ คือ
1) ตรวจสอบจุดประสงค์ของหลักสูตร ว่าสอดคล้องกับหลักสูตรที่จะนำไปใช้ โดยจุดประสงค์ก็คือความต้องการของผู้เรียน โรงเรียน และชุมชน
ที่ต้องสอดคล้องกับพื้นฐานปรัชญาทางการศึกษา, พื้นฐานทางด้านจิตวิทยา, พื้นฐานทางด้านสังคมและวัฒนธรรม, พื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ
การเมือง การปกครอง และพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ซึ่งยังต้องมีความชัดเจนอีกด้วย และสามารถจำแนกประเภทของจุดประสงค์ได้ 3 ด้าน ดังนี้ ด้านความรู้หรือสติปัญญา, ด้านเจตคติหรือความรู้สึกและด้านทักษะปฏิบัติ
2) ตรวจสอบเนื้อหาสาระ เนื้อหาสาระเป็นสิ่งที่ผู้เรียนจะต้องมีการเรียนรู้
และได้รับการถ่ายทอดจากผู้สอนที่ตรงกับความสนใจ ความต้องการ
ความสามารถของผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งการที่จะถ่ายทอดเนื้อหาสาระให้กับผู้เรียนนั้น
ก็ควรมีการเรียบเรียงลำดับขั้นของเนื้อหาจากขั้นพื้นฐานไปสู่เนื้อหาที่มีความลึกซึ้งมากขึ้น
และมีการจัดเรียงเนื้อหาอย่างเป็นระบบเพื่อให้ง่ายต่อการเรียนรู้และการทำความเข้าใจ
โดยต้องสอดคล้องกับอายุ ระดับชั้นของผู้เรียน
มีการกำหนดระยะเวลาในการเรียนอย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ก็ต้องสอดคล้องกับจุดประสงค์ที่ได้ตั้งไว้เพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
3) ตรวจสอบการจัดรูปแบบการสอน ควรมีวิธีการจัดรูปแบบการสอนที่หลากหลาย
เพื่อให้เหมาะสมกับความแตกต่างของผู้เรียนแต่ละคน
ที่จะได้เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความรู้ ความสามารถอย่างเต็มศักยภาพ
และจะได้เป็นการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดทักษะในด้านต่างๆ โดยการจัดรูปแบบการสอนนี้ผู้สอนก็ควรเน้นการจัดรูปแบบการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
ผู้สอนทำหน้าที่เป็นเพียงผู้คอยอำนวยความสะดวก ผู้ให้คำแนะนำที่เหมาะสม
เพื่อช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เกิดการพัฒนาด้วยตนเอง
ได้มีความริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งต่างๆด้วยตนเอง ผ่านกระบวนการคิด วิเคราะห์ การฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง
และการจัดรูปแบบการสอนก็ควรมีความยืดหยุ่น
สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของผู้เรียน
ตามสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องเรียน
เน้นการฝึกปฏิบัติให้ผู้เรียนเกิดความชำนาญ
โดยมีความรู้เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะใช้ในการปฏิบัติด้วย
4) ตรวจสอบการประเมินผล เป็นเกณฑ์ต่างๆที่มีขึ้นเพื่อใช้ในการประเมินผล
ชี้วัดความก้าวหน้าด้านการเรียนรู้ของผู้เรียน
โดยผู้สอนจะสร้างเครื่องมือในการประเมินผลขึ้นมาหรือผู้เรียนอาจจะมีส่วนร่วมในการสร้าง
แนะนำ เครื่องมือในการประเมินผลและผู้เรียนก็ยังมีส่วนร่วมในการใช้เครื่องมือในการประเมินผลนี้ด้วย
ซึ่งเครื่องมือในการประเมินผลก็ต้องสอดคล้องกับจุดประสงค์ เนื้อหาสาระ
รูปแบบการจัดการสอน ทั้งนี้ก็เพื่อให้การประเมินผลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
สามารถวัดความก้าวหน้าของผู้เรียนได้จริง
4) การศึกษาการใช้หลักสูตร
1) หาข้อมูลโรงเรียน เช่น
- ข้อมูลทั่วไปของโรงเรียน
- วิสัยทัศน์
- พันธะกิจของโรงเรียน
- ยุทธศาสตร์ของโรงเรียน
- แนวทางการพัฒนาของโรงเรียน
- แนวทางการพัฒนาของโรงเรียน
2) การติดต่อประสานงาน
3)
เก็บข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับนักเรียน เช่น
- ผลการเรียน
- ความสนใจ
- สมรรถภาพของผู้เรียน
4) วางแผนการดำเนินงานกับทางโรงเรียน
เช่น
- ตรวจสอบความพร้อมในด้านสื่อการเรียนการสอนและเทคโนโลยี
- กำหนดคาบเรียนการใช้หลักสูตร
5) ประเมินผลการใช้หลักสูตร
6) ดำเนินการแก้ไขปรับปรุง
12) การนำหลักสูตรไปใช้ควรคำนึงถึงปัจจัยใดบ้าง
อย่างไร
การนำหลักสูตรไปใช้
เป็นขั้นตอนที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาหลักสูตร เพราะเป็นการนำอุดมการณ์
จุดหมายของหลักสูตร เนื้อหาวิชา
และประสบการณ์การเรียนรู้ที่กลั่นกรองอย่างดีแล้วไปสู่ผู้เรียน ขั้นตอนการนำหลักสูตรไปใช้ มีความสำคัญยิ่งกว่าขั้นตอนตอนใดๆทั้งหมด เป็นตัวบ่งชี้ถึงความสำเร็จหรือความล้มเหลวของหลักสูตร
ถึงแม้หลักสูตรจะสร้างไว้ดีเพียงใดก็ตาม ยังไม่สามารถจะกล่าวได้ว่าประสบความสำเร็จหรือไม่
ถ้าหากว่าการนำหลักสูตรไปใช้ดำเนินไปอย่างไม่ถูกต้องหรือไม่ดีเพียงพอ ความล้มเหลวของหลักสูตรก็จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะฉะนั้นการนำหลักสูตรไปใช้
จึงมีความสำคัญที่ผู้เกี่ยวข้องในการนำหลักสูตรไปใช้
จะต้องทำความเข้าใจกับวิธีการขั้นตอนต่างๆ
เพื่อให้สามารถนำหลักสูตรไปใช้อย่างมีประสิทธิผลสูงสุดตามความมุ่งหมายทุกประการ
ความหมายของการนำหลักสูตรไปใช้
การนำหลักสูตรไปใช้
เป็นขั้นตอนที่นำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติ ความหมายของคำว่า
การนำหลักสูตรไปใช้มีแตกต่างกันออกไป นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมาย คำนิยามของคำว่าการนำหลักสูตรไปใช้ดังนี้
· โบแชมป์ (Beauchamp, 1975:164) ได้ให้ความหมายของการนำหลักสูตรไปใช้ว่า การนำหลักสูตรไปใช้ หมายถึง การนำหลักสูตรไปปฏิบัติ โดยการะบวนการที่สำคัญที่สุด คือการแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน การจัดสภาพสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ครูได้มีพัฒนาการเรียนการสอ
· สันติ ธรรมบำรุง (2527.120) กล่าวว่า การนำหลักหลักสูตรไปใช้หมายถึงการที่ผู้บริหารโรงเรียนและครูนำโครงการของหลักสูตรที่เป็นรูปเล่มนั้นไปปฏิบัติให้บังเกิดผล รวมถึงการบริหารงานด้านวิชาการของโรงเรียนเพื่ออำนวยความสะดวกให้ครูและนักเรียนสามารถสอนและเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากความหมายของการนำหลักสูตรไปใช้
ตามที่นักการศึกษาได้ให้ไว้ข้างต้น พอสรุปได้ว่า การนำหลักสูตรไปใช้ หมายถึง การดำเนินงานและกิจกรรมต่างๆ
ที่จะทำให้หลักสูตรที่สร้างขึ้นดำเนินไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
นับแต่การเตรียมบุคลากร อาคาร สถานที่ วัสดุอุปกรณ์ สภาพแวดล้อม และการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน
แนวคิดเกี่ยวกับการนำหลักสูตรไปใช้
· โบแชมป์ (Beauchamp, 1975.164-169) กล่าวว่า สิ่งแรกที่ควรทำคือ การจัดสภาพแวดล้อมของโรงเรียน ครูผู้นำหลักสูตรไปใช้มีหน้าที่แปลงหลักสูตรไปสู่การสอน โดยใช้หลักสูตรเป็นหลักในการพัฒนากลวิธีการสอน สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการนำหลักสูตรไปใช้ให้เห็นผลตามเป้าหมาย คือ
ครูผู้สอนควรมีส่วนร่วมในการร่างหลักสูตร ผู้บริหาร
ครูใหญ่ต้องเห็นความสำคัญและสนับสนุนการดำเนินการให้เกิดผลสำเร็จ
การนำหลักสูตรไปใช้เป็นงานหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่าย ตั้งแต่ผู้บริหารระดับกระทรวง กรม กอง ผู้บริหารระดับโรงเรียน ครูผู้สอน ศึกษานิเทศก์
และบุคคลอื่นๆขอบเขตและงานของการนำหลักสูตรไปใช้เป็นงานที่มีขอบเขตกว้างขวาง
เพราะฉะนั้นการนำหลักสูตรไปใช้จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างรอบคอบและระมัดระวัง
อ้างอิงจากเว็บ : http://byedusu.blogspot.com/