วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2561

การวางแผนพัฒนาหลักสูตร


สรุปองค์ความรู้การพัฒนาหลักสูตร

การวางแผนพัฒนาหลักสูตร
        นักพัฒนาหลักสูตรต้องมีความรู้เกี่ยวกับการระบุเป้าหมายของหลักสูตรที่มุ่งเน้น
            - ความรู้ (K)         - ผู้เรียน (L)          - สังคม (S)

พื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำหลักสูตร


ปรัชญาการศึกษาที่สำคัญ
พื้นฐานด้านจิตวิทยา
พื้นฐานด้านสังคมและวัฒนธรรม
แนวคิดสี่เสาหลัก

            เป็นหลักสำคัญ 4 ประการของการศึกษาตลอดชีวิต ตามคาอธิบายของคณะกรรมาธิการนานาชาติว่าด้วยการศึกษาในคริสต์ศตวรรษที่ 21 ซึ่งได้เสนอรายงานเรื่อง Learning : The Treasure Within ต่อองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO)   เมื่อ ค.ศ. 1995 ว่า การศึกษาตลอดชีวิต ประกอบด้วย

1. เสาหลักการศึกษาประการแรก คือ การศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพ (Learning to Know) ได้แก่ การเรียนเพื่อรู้
2. เสาหลักการศึกษาประการที่ 2 คือ การศึกษาเพื่อพัฒนาสมรรถภาพ (Learning to do) ได้แก่เรียนเพื่อทำได้
3. เสาหลักการศึกษาประการที่ 3 คือ การศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพ (Learning to live together) ได้แก่ การใช้ความรู้ความสามารถเพื่อสังคมส่วนรวม
4. เสาหลักการศึกษาประการที่ 4 คือ การศึกษาเพื่อพัฒนามนุษยภาพ (Learning to be)ได้แก่การพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์

ทักษะในการดำรงชีวิตของคนในศตวรรตที่ 21

   3Rs + 7Cs
           
             3R ได้แก่ Reading (อ่านออก) , (W)Riting (เขียนได้) และ   (A)Rithmetics (คิดเลขเป็น)
และเพิ่มเติมจาก อ. ดร.สุเทพ อ่วมเจริญ : Relevancy (ความสอดคล้อง) Relationship (สัมพันธภาพ) และ Rigor (ความเคร่งครัด)

             7C ได้แก่
   
-  Critical thinking & problem solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา) 
 - Creativity & innovation (ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม) -  Cross-cultural understanding (ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์)
 - Collaboration, teamwork & leadership (ทักษะด้านความร่วมมือการทำงาน และภาวะผู้นำ)
 - Communications, information & media literacy (ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ)
 -  Computing & ICT literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)
 - Career & learning skills (ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้)
1. ได้รับและประยุกต์ใช้แก่นความรู้ (core knowledge) และทักษะการคิดซึ่งจาเป็นต่อยุคข้อมูล
2. แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมและความยืดหยุ่นกับสมาชิกทางธุรกิจและชุมชนเพื่อให้ถึงจุดหมาย
3. ทาการตัดสินใจและแก้ปัญหาอย่างมีคุณธรรมจริยธรรมและมีความร่วมมือ
4. ใช้เทคโนโลยีเพื่อรวบรวม วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลสาหรับการประยุกต์ใช้
5. แสดงให้เห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในทางบวกที่ให้คุณค่าต่อภาษา  วัฒนธรรมและผู้คนอันหลากหลาย
6.แสดงให้เห็นถึงภาวะผู้นาซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นให้ประสบความสาเร็จ เป็นประโยชน์และทางานร่วมกัน

การออกแบบหลักสูตร
ทฤษฎีของเบญจมิน บลูม และคณะ (Benjamin Bloom and other 1956)

Bloom ได้แบ่งการเรียนรู้เป็น 6 ระดับ

1. ความรู้ที่เกิดจากความจำ (knowledge) ซึ่งเป็นระดับล่างสุด
2. ความเข้าใจ (Comprehension)
3. การประยุกต์ (Application)
4. การวิเคราะห์ ( Analysis) สามารถแก้ปัญหา ตรวจสอบได้
5. การสังเคราะห์ ( Synthesis) สามารถนาส่วนต่างๆ มาประกอบเป็นรูปแบบใหม่ได้ให้แตกต่างจากรูปเดิม เน้นโครงสร้างใหม่
6. การประเมินค่า ( Evaluation) วัดได้ และตัดสินได้ว่าอะไรถูกหรือผิด ประกอบการตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุผลและเกณฑ์ที่แน่ชัด


1. ปริเขตพุทธพิสัย (Cognitive Domain) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสมอง เช่น การเรียนรู้ความคิดรวบยอด
2. ปริเขตจิตพิสัย(Affective Domain) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ เช่น ความเชื่อ ความสนใจ เจตคติ ค่านิยม
3. ปริเขตทักษะพิสัย(Psychomotor Domain ) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายเพื่อให้เกิดความชานาญ หรือทักษะ เช่น การว่ายน้า เล่นกีฬาต่างๆ เล่นดนตรี

การจัดหลักสูตร

การจัดระบบหลักสูตรที่ดีต้องมีหลักพิจารณา 6 ประการ

2.1 การกาหนดขอบข่ายหลักสูตร (Scope) คือการกาหนดเนื้อหา สาระการเรียนรู้ หัวข้อประเด็นสาคัญต่างๆ แนวคิด ค่านิยม หรือคุณธรรมที่สาคัญสาหรับผู้เรียนในรายวิชาต่างๆของแต่ละระดับชั้น 2.2 การจัดลาดับการเรียนรู้ (Sequence) คือการจัดลาดับก่อนหลังของเนื้อหา ควรจัดลาดับจากง่ายไปยาก
2.3 ความต่อเนื่อง (Continuity) คือการจัดเนื้อหา ประสบการณ์การเรียนรู้ ทักษะต่างๆให้มีความต่อเนื่องตลอดหลักสูตร
2.4 ความสอดคล้องเชื่อมโยง (Articulation) คือเนื้อหา ประสบการณ์การเรียนรู้ และทักษะที่อยู่ในระดับชั้นเดียวกันสอดคล้องเชื่อมโยงกันได้ แม้ต่างวิชากันก็ตาม
2.5 การบูรณาการ (Integration) คือการจัดขอบข่ายเนื้อหาและประสบการณ์การเรียนรู้ในหลักสูตรให้มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันจากหัวข้อหนึ่งไปยังอีกหัวข้อหนึ่งของรายวิชานั้น หรือจากรายวิชาหนึ่งไปอีกรายวิชาที่มีความเกี่ยวข้องกัน
2.6 ความสมดุล (Balance) คือความสมดุลของเนื้อหา ประสบการณ์การเรียนรู้ และทักษะของรายวิชาต่างๆ ที่สำคัญคือความสมดุลระหว่างเนื้อหาสาระกับวุฒิภาวะของผู้เรียน

         เมื่อได้หลักพิจารณาทั้ง 6 ประการข้างต้นแล้ว จากนั้นพิจารณารูปแบบของการออกแบบหลักสูตร ดังนี้
1. การออกแบบหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชา (Subject-centered Designs)
- หลักสูตรแบบรายวิชา (subject design)
- หลักสูตรแบบสาขาวิชา (discipline design)
- หลักสูตรหมวดวิชา (broad fields design)
- หลักสูตรสัมพันธ์วิชา (correlation design)
- หลักสูตรเน้นกระบวนการ (process design)

2. การออกแบบหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (Learner-centered Designs)
- หลักสูตรเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (child – centered designs)
- หลักสูตรเน้นประสบการณ์ (experience – centered designs)
- หลักสูตรแบบจิตนิยม (romantic /radical designs)
- หลักสูตรมนุษยนิยม (humanistic designs)

3. การออกหลักสูตรที่เน้นปัญหาสังคมเป็นสำคัญ (Problem-centered Designs) - หลักสูตรเน้นสถานการณ์ของชีวิต (life – situations designs)
- หลักสูตรแกน (core designs)
- หลักสูตรเน้นปัญหาและปฏิรูปสังคม (social problems and reconstructionist designs)

การประเมินหลักสูตร
จากแผนภาพการประเมินหลักสูตรจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ

1. การประเมินหลักสูตรก่อนนาหลักสูตรไปใช้ จะเป็นการประเมินเอกสารหลักสูตร ตรวจสอบคุณภาพขององค์ประกอบต่างๆว่าจุดหมาย จุดประสงค์ โครงสร้างเนื้อหาสาระ และวิธีการวัดและประเมินผลนักเรียนมีความสอดคล้อง เหมาะสม ครอบคลุม และถูกต้องตามหลักการพัฒนาหลักสูตร เหมาะกับการนาไปปฏิบัติหรือไม่ โดยจะทาการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ

2. การประเมินหลักสูตรระหว่างการดาเนินการใช้หลักสูตร จะเป็นการประเมินการนาไปใช้ว่านาไปใช้ได้ดีกับสถานการณ์จริงเพียงใด การจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรทาอย่างไร มีปัญหาอุปสรรคอะไรในการใช้หลักสูตรเพื่อจะได้แก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นและสามารถใช้หลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ และการประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตร เป็นการตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน ซึ่งประกอบด้วยสัมฤทธิผลทางวิชาการและสัมฤทธิ์ผลที่ไม่ใช่ทางวิชาการ ซึ่งเมื่อพบข้อผิดพลาดสามารถแก้ไขได้ในทันที

3. การประเมินหลักสูตรหลังการใช้หลักสูตรจะเป็นการประเมินระบบหลักสูตร คือ การประเมินที่ลึกล้าและจะประเมินอย่างละเอียดกับทุกๆองค์ประกอบที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักสูตร เพื่อเป็นการประเมินว่าหลักสูตรนี้ดีจริง สามารถนาไปใช้ได้จริง มีข้อผิดพลาดตรงนี้ ต้องแก้ไขอย่างนี้ ถือเป็นการประเมินที่สมบูรณ์และครอบคลุมมากที่สุด

ปฏิบัติการหลักสูตร

1.      แบบจำลองการพัฒนาหลักสูตร(Curriculum Development Model)

ไทเลอร์  กล่าวว่า  ในการพัฒนาหลักสูตรนั้นควรจะตอบคำถามพื้นฐานได้  4  ประการ  คือ
1) มีจุดมุ่งหมายทางการศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนตั้งใจจะก่อให้เกิดแก่ผู้เรียน
2) มีประสบการณ์ทางการศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจัดขึ้นเพื่อช่วยให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
3) จะจัดประสบการณ์ทางการศึกษาอย่างไรจึงจะมีประสิทธิภาพ
4) ประเมินผลประสบการณ์อย่างไรจึงจะตัดสินใจได้ว่าบรรลุถึงจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
หากพิจารณาคำถามดังกล่าวมา  จะเห็นว่าเป็นคำถามที่แสดงองค์ประกอบของหลักสูตรและยังแสดงลำดับขั้นกระบวนการพัฒนาหลักสูตรด้วย  รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์อาจจัดเป็นขั้นตอนได้ดังนี้
1)       กำหนดจุดมุ่งหมายชั่วคราว กำหนดขึ้นโดยอาศัยข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียน สังคม และเนื้อหาวิชาเป็นพื้นฐาน
2)       กำหนดจุดมุ่งหมายที่แน่นอน  เกิดจากการนำเอาจุดมุ่งหมายชั่วคราวไปตรวจสอบ  กลั่นกรองด้วยทฤษฎีการเรียนรู้  ปรัชญาการศึกษา  และปรัชญาสังคม  แล้วปรับปรุงให้เหมาะสมสอดคล้องกัน
3)       เลือกประสบการณ์การเรียนรู้
4)       กำหนดประสบการณ์การเรียนรู้
5)       กำหนดการประเมินผล
SU Model คือ รูปแบบจำลองโลกแห่งการศึกษา โดยประกอบด้วยวงกลม ซึ่งเปรียบเสมือนโลกที่มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ คือ 1) พื้นฐานทางปรัชญา 2) พื้นฐานทางจิตวิทยา และ 3) พื้นฐานทางสังคม โดยมีสามเหลี่ยมแห่งการศึกษาที่มีองค์ประกอบ 3 ด้าน ได้แก่ 

1) ด้านความรู้ กำกับด้วยปรัชญาทางการศึกษา 2 ปรัชญา คือ ปรัชญาสารัตถนิยม (Essentialism) ซึ่งมีแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนเพื่อเป็นการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม ประเพณี และ ปรัชญานิรันดรนิยม (Perenialism) ที่มีแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนด้วยเหตุผล เรียนรู้ในสิ่งที่เป็นเนื้อหาสาระที่มั่นคง
2) ด้านผู้เรียน กำกับด้วยปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) ซึ่ง มีแนวคิดที่ให้บุคคลมีเสรีภาพในการเลือกด้วยตนเอง มีแนวทางการจัดการศึกษาโดยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเลือกประสบการณ์ในการเรียน รู้ด้วยตนเอง
3)  ด้านสังคม จะกำกับด้วยปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม (Reconstructionism) โดยมีแนวคิดในการจัดการศึกษาให้กับผู้เรียนควรเป็นไปเพื่อการพัฒนาสังคม เนื่องจากสังคมมีปัญหา
                ใน การพัฒนาหลักสูตรการศึกษาต้องตอบสนองด้านผู้เรียน ด้านสังคมและด้านความรู้ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานทางการพัฒนาที่สำคัญ คือ พื้นฐานทางสังคม พื้นฐานทางจิตวิทยาและพื้นฐานทางปรัชญาและภายในสามเหลี่ยมการศึกษาจะประกอบ ด้วยสามเหลี่ยมเล็กๆภาพ ซึ่งเป็นการจำลองขั้นตอนในการจัดทำหลักสูตรของTyler โดยประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1คือ การวางแผน (Planning) ซึ่งจะเห็นว่ากำกับด้วยความรู้ (Knowledge) และจะสอดคล้องกับคำถามที่หนึ่งของไทเลอร์ คือ มีจุดมุ่งหมายอะไรบ้างในการศึกษาที่โรงเรียนต้องแสวงหา เพราะว่าหลักสูตรต้องวางแผนให้มีเนื้อหาครบคลุมในสิ่งที่ผู้เรียนต้องรู้และ ต้องเรียน
ขั้นตอนที่ 2 คือ การออกแบบ (Design) ซึ่งจะเห็นว่ากำกับด้วยผู้เรียน (Learner) และจะสอดคล้องกับคำถามที่สองของไทเลอร์ คือ มีประสบการณ์การศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจัด เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายในการศึกษา เพราะว่าหลักสูตรต้องออกแบบมา เพื่อให้จัดกิจกรรมหรือประสบการณ์ที่ก่อให้เกิดความรู้แก่นักเรียน
ขั้นตอนที่ 3 คือ การจัดการหลักสูตร (Organize) ซึ่งจะเห็นว่ากำกับด้วยผู้เรียน (Learner)ความรู้ (Knowledge) และสังคม (Society) และจะสอดคล้องกับคำถามที่สามของไทเลอร์ คือจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ เพราะว่าการจัดการหลักสูตรให้ได้ประสิทธิภาพ คือ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิ เพื่อให้นักเรียนเกิดความรู้และบรรลุวัตถุประสงค์พร้อมกับสามารถนำความรู้ ที่ได้ไปใช้ในการอยู่ในสังคม
 ขั้นตอนที่ 4 คือ การประเมิน (Evaluate) ซึ่งจะเห็นว่ากำกับด้วยสังคม (Society) และจะสอดคล้องกับคำถามที่สี่ของไทเลอร์ คือ ประเมินประสิทธิ์ผลของประสบการณ์ในการเรียนอย่างไร เพราะว่าการประเมินผลการเรียน ความรู้และการจัดการเรียนการสอนจะทำให้นักเรียนได้ความรู้ที่สามารถนำไปใช้ ในสังคม


3     3)   การตรวจสอบคุณภาพหลักสูตร
การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร คือ การที่ศึกษาความเป็นไปได้ของหลักสูตรในการนำไปใช้ และเป็นการตรวจสอบความถูกต้อง ครบถ้วนของหลักสูตร ที่หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นก็จะต้องทำการแก้ไขก่อนนำไปใช้โดยการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร ตรวจสอบสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้ คือ
1ตรวจสอบจุดประสงค์ของหลักสูตร ว่าสอดคล้องกับหลักสูตรที่จะนำไปใช้ โดยจุดประสงค์ก็คือความต้องการของผู้เรียน โรงเรียน และชุมชน ที่ต้องสอดคล้องกับพื้นฐานปรัชญาทางการศึกษาพื้นฐานทางด้านจิตวิทยาพื้นฐานทางด้านสังคมและวัฒนธรรมพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง และพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งยังต้องมีความชัดเจนอีกด้วย และสามารถจำแนกประเภทของจุดประสงค์ได้ 3 ด้าน ดังนี้ ด้านความรู้หรือสติปัญญาด้านเจตคติหรือความรู้สึกและด้านทักษะปฏิบัติ
2) ตรวจสอบเนื้อหาสาระ  เนื้อหาสาระเป็นสิ่งที่ผู้เรียนจะต้องมีการเรียนรู้ และได้รับการถ่ายทอดจากผู้สอนที่ตรงกับความสนใจ ความต้องการ ความสามารถของผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งการที่จะถ่ายทอดเนื้อหาสาระให้กับผู้เรียนนั้น ก็ควรมีการเรียบเรียงลำดับขั้นของเนื้อหาจากขั้นพื้นฐานไปสู่เนื้อหาที่มีความลึกซึ้งมากขึ้น และมีการจัดเรียงเนื้อหาอย่างเป็นระบบเพื่อให้ง่ายต่อการเรียนรู้และการทำความเข้าใจ โดยต้องสอดคล้องกับอายุ ระดับชั้นของผู้เรียน มีการกำหนดระยะเวลาในการเรียนอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ก็ต้องสอดคล้องกับจุดประสงค์ที่ได้ตั้งไว้เพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
3) ตรวจสอบการจัดรูปแบบการสอน ควรมีวิธีการจัดรูปแบบการสอนที่หลากหลาย เพื่อให้เหมาะสมกับความแตกต่างของผู้เรียนแต่ละคน ที่จะได้เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความรู้ ความสามารถอย่างเต็มศักยภาพ และจะได้เป็นการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดทักษะในด้านต่างๆ โดยการจัดรูปแบบการสอนนี้ผู้สอนก็ควรเน้นการจัดรูปแบบการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้สอนทำหน้าที่เป็นเพียงผู้คอยอำนวยความสะดวก ผู้ให้คำแนะนำที่เหมาะสม เพื่อช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เกิดการพัฒนาด้วยตนเอง ได้มีความริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งต่างๆด้วยตนเอง ผ่านกระบวนการคิด วิเคราะห์ การฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง และการจัดรูปแบบการสอนก็ควรมีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของผู้เรียน ตามสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องเรียน เน้นการฝึกปฏิบัติให้ผู้เรียนเกิดความชำนาญ โดยมีความรู้เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะใช้ในการปฏิบัติด้วย
4)  ตรวจสอบการประเมินผล เป็นเกณฑ์ต่างๆที่มีขึ้นเพื่อใช้ในการประเมินผล ชี้วัดความก้าวหน้าด้านการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยผู้สอนจะสร้างเครื่องมือในการประเมินผลขึ้นมาหรือผู้เรียนอาจจะมีส่วนร่วมในการสร้าง แนะนำ เครื่องมือในการประเมินผลและผู้เรียนก็ยังมีส่วนร่วมในการใช้เครื่องมือในการประเมินผลนี้ด้วย ซึ่งเครื่องมือในการประเมินผลก็ต้องสอดคล้องกับจุดประสงค์ เนื้อหาสาระ รูปแบบการจัดการสอน ทั้งนี้ก็เพื่อให้การประเมินผลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถวัดความก้าวหน้าของผู้เรียนได้จริง
 4) การศึกษาการใช้หลักสูตร
                1) หาข้อมูลโรงเรียน เช่น
                                - ข้อมูลทั่วไปของโรงเรียน    
                                - วิสัยทัศน์    
                                - พันธะกิจของโรงเรียน    
                                - ยุทธศาสตร์ของโรงเรียน 
                        - แนวทางการพัฒนาของโรงเรียน
            2การติดต่อประสานงาน
3) เก็บข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับนักเรียน เช่น
                                -  ผลการเรียน
                                -  ความสนใจ 
                               -  สมรรถภาพของผู้เรียน 
                4) วางแผนการดำเนินงานกับทางโรงเรียน เช่น
                                - ตรวจสอบความพร้อมในด้านสื่อการเรียนการสอนและเทคโนโลยี
                                -  กำหนดคาบเรียนการใช้หลักสูตร
             5ประเมินผลการใช้หลักสูตร
                6) ดำเนินการแก้ไขปรับปรุง
12)   การนำหลักสูตรไปใช้ควรคำนึงถึงปัจจัยใดบ้าง อย่างไร
การนำหลักสูตรไปใช้ เป็นขั้นตอนที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาหลักสูตร เพราะเป็นการนำอุดมการณ์ จุดหมายของหลักสูตร  เนื้อหาวิชา และประสบการณ์การเรียนรู้ที่กลั่นกรองอย่างดีแล้วไปสู่ผู้เรียน  ขั้นตอนการนำหลักสูตรไปใช้ มีความสำคัญยิ่งกว่าขั้นตอนตอนใดๆทั้งหมด  เป็นตัวบ่งชี้ถึงความสำเร็จหรือความล้มเหลวของหลักสูตร ถึงแม้หลักสูตรจะสร้างไว้ดีเพียงใดก็ตาม  ยังไม่สามารถจะกล่าวได้ว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ ถ้าหากว่าการนำหลักสูตรไปใช้ดำเนินไปอย่างไม่ถูกต้องหรือไม่ดีเพียงพอ  ความล้มเหลวของหลักสูตรก็จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะฉะนั้นการนำหลักสูตรไปใช้ จึงมีความสำคัญที่ผู้เกี่ยวข้องในการนำหลักสูตรไปใช้ จะต้องทำความเข้าใจกับวิธีการขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้สามารถนำหลักสูตรไปใช้อย่างมีประสิทธิผลสูงสุดตามความมุ่งหมายทุกประการ
ความหมายของการนำหลักสูตรไปใช้
การนำหลักสูตรไปใช้ เป็นขั้นตอนที่นำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติ ความหมายของคำว่า การนำหลักสูตรไปใช้มีแตกต่างกันออกไป  นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมาย      คำนิยามของคำว่าการนำหลักสูตรไปใช้ดังนี้
·        โบแชมป์ (Beauchamp, 1975:164)   ได้ให้ความหมายของการนำหลักสูตรไปใช้ว่า การนำหลักสูตรไปใช้ หมายถึง การนำหลักสูตรไปปฏิบัติ โดยการะบวนการที่สำคัญที่สุด คือการแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน   การจัดสภาพสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ครูได้มีพัฒนาการเรียนการสอ
·        สันติ    ธรรมบำรุง (2527.120)  กล่าวว่า การนำหลักหลักสูตรไปใช้หมายถึงการที่ผู้บริหารโรงเรียนและครูนำโครงการของหลักสูตรที่เป็นรูปเล่มนั้นไปปฏิบัติให้บังเกิดผล รวมถึงการบริหารงานด้านวิชาการของโรงเรียนเพื่ออำนวยความสะดวกให้ครูและนักเรียนสามารถสอนและเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากความหมายของการนำหลักสูตรไปใช้ ตามที่นักการศึกษาได้ให้ไว้ข้างต้น  พอสรุปได้ว่า  การนำหลักสูตรไปใช้  หมายถึง การดำเนินงานและกิจกรรมต่างๆ ที่จะทำให้หลักสูตรที่สร้างขึ้นดำเนินไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย นับแต่การเตรียมบุคลากร อาคาร สถานที่  วัสดุอุปกรณ์  สภาพแวดล้อม  และการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน
แนวคิดเกี่ยวกับการนำหลักสูตรไปใช้
·        โบแชมป์ (Beauchamp, 1975.164-169) กล่าวว่า สิ่งแรกที่ควรทำคือ การจัดสภาพแวดล้อมของโรงเรียน ครูผู้นำหลักสูตรไปใช้มีหน้าที่แปลงหลักสูตรไปสู่การสอน โดยใช้หลักสูตรเป็นหลักในการพัฒนากลวิธีการสอน   สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการนำหลักสูตรไปใช้ให้เห็นผลตามเป้าหมาย คือ ครูผู้สอนควรมีส่วนร่วมในการร่างหลักสูตร ผู้บริหาร ครูใหญ่ต้องเห็นความสำคัญและสนับสนุนการดำเนินการให้เกิดผลสำเร็จ
การนำหลักสูตรไปใช้เป็นงานหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่าย  ตั้งแต่ผู้บริหารระดับกระทรวง กรม  กอง  ผู้บริหารระดับโรงเรียน   ครูผู้สอน  ศึกษานิเทศก์ และบุคคลอื่นๆขอบเขตและงานของการนำหลักสูตรไปใช้เป็นงานที่มีขอบเขตกว้างขวาง เพราะฉะนั้นการนำหลักสูตรไปใช้จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างรอบคอบและระมัดระวัง
อ้างอิงจากเว็บ :  http://byedusu.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น