วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ประวัติบ้านนาบั่ว




ภูมิหลัง
การจักสานเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนที่สำคัญยิ่งต่อการดำรงชีวิตตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การจักสานเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นภูมิปัญญาอันเฉลียวฉลาดของคนในท้องถิ่น ที่ใช้ภูมิปัญญาสามารถนำสิ่งที่มีอยู่ในชุมชนมาประยุกต์ทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีประโยชน์ในการดำรงชีวิต การจักสานมีมานานแล้ว และได้มีการพัฒนามาตลอดเวลาโดยอาศัยการถ่ายทอดความรู้จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง การดำรงชีวิตประจำวันของชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ได้เอาการรู้หนังสือมาเกี่ยวข้อง การเรียนรู้ต่างๆ อาศัยวิธีการฝึกหัดและบอกเล่าซึ่งไม่เป็นระบบในการบันทึก สะท้อนให้เห็นการเรียนรู้ ความรู้ที่สะสมที่สืบทอดกันมาจากอดีตมาถึงปัจจุบันหรือที่เรียกกันว่า ภูมิปัญญาท้องถิ่น ดังนั้นกระบวนถ่ายทอดความรู้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่ทำภูมิปัญญาท้องถิ่นนั้นคงอยู่ต่อเนื่องและยั่งยืน การจักสานตะกร้าไม้ไผ่ ได้สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ถ่ายทอดภูมิปัญญาจากรุนสู่รุ่น เกิดจากความคิดในการนำเอาไม้ไผ่ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีอยู่ในหมูบ้าน นำมาแปรรูปเป็นตะกร้า โดยมี คุณตาสนิท แพนสิงห์ เป็นผู้จักสาน

ประวัติบ้านนาบั่ว  
                บ้านนาบั่ว ตั้งขึ้นเมื่อปี  พ.ศ. 2434  ประชากรได้อพยพมาจากบ้านโพนสาวเอ้  เป็นส่วนใหญ่ประมาณ  90 % และมาจากบ้านโนนสังข์  10 % ของประชากรที่ก่อตั้งหมู่บ้าน  โดยก่อตั้งครั้งแรกที่โนนหนองบัว  ปัจจุบันอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของหมู่บ้าน  (หนองแวง ) โดยการนำของ   นายจันทร์สอน จิตมาตย์ ซึ่งมีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันถึง คน น้องคนที่ มีบุตรมากถึง 10 คน เมื่อไม่มีที่ทำกินจึงได้พาน้องขี่ม้ามาหาจับจองที่ทำกินบริเวณหนองบัวในปัจจุบัน  ในเมื่อน้องๆ มีที่ทำกินอุดมสมบูรณ์แล้ว  ผู้เป็นพี่ชายคือ ปู่จันทร์สอนก็กลับไปอยู่ที่บ้านเดิม (บ้านโพนสาวเอ้) และให้น้องคนที่ คือ ปู่ชินจักร จิตมาตย์ ก่อตั้งบ้านอยู่ที่หนองบัว   อีกปีต่อมาน้องทั้ง คน ก็ติดตามมาอยู่ด้วย   จึงได้แบ่งปันที่ทำกินและที่อยู่อาศัยให้ และนอกจากนั้นยังมี   นายไกรบุตร ราชสินธ์  นางลุน  นางทุมมี  นางอ่อนสี  เป็นต้นได้ย้ายมาอยู่ด้วย  จนได้เป็นหมู่บ้านนาบัว ในปัจจุบัน 
            ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2445  ได้ยกฐานะเป็นหมู่บ้านและได้มีการแต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านขึ้น  เป็นคนแรก  คือ  นายจิตปัญญา  แสนมิตร  (นายเชียงมัง )  และสร้างวัด บัวขาวขึ้นในปี พ.ศ. 2445  โดยการนำของพระเทศ  นามพลแสน  งานหลักในการสร้างบ้านแปลงเมืองในขณะนั้น  คือ การพัฒนาที่ทำกินมากกว่าอย่างอื่น  เช่น  การเบิกถางที่นา  ทำสวน  เป็นต้น  ในปี พ.ศ.2454  ผู้ใหญ่บ้านคนแรกได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา  จึงได้รับการแต่ตั้งผู้ใหญ่บ้านคนที่  2  คือ  นายวรรณทอง  นามพลแสน  ในขณะนั้นบ้านนาบัวมีทั้งหมด  30  ครอบครัว  แต่ขณะนั้นที่ตั้งหมู่บ้านถูกน้ำท่วม  จึงได้ย้ายที่ตั้งของหมู่บ้านใหม่  ซึ่งคือที่ตั้งของหมู่บ้านปัจจุบัน  ส่วนพี่น้องที่อยู่บ้านโพนสาวเอ้  และบ้านโนนสังข์ก็ได้ย้ายมาอยู่เพิ่มเรื่อย ๆ  ช่วงนี้ผู้ใหญ่วรรณทอง ได้เกษียณอายุราชการ  จึงได้แต่งตั้งผู้ใหญ่กรม  แสนมิตร  ขึ้นมาแทน  การสัญจรไปมากับส่วนราชการมีความยากลำบากมาก  เพราะไม่มีเส้นทางคมนาคมเหมือนในปัจจุบัน  ขณะนั้นบ้านนาบัวขึ้นต่อตำบลเรณูนคร เป็นหมู่ที่ 14 ของตำบลเรณู อำเภอธาตุพนม พาหนะในสมัยนั้นใช้เกวียนโดยใช้โคกระบือในการลาก  การเดินทางไปติดต่อกับตำบลหรืออำเภอ  คือ การเดินเท้า
ในระยะเวลานั้นชาวบ้านนาบัวได้ตั้งถิ่นฐานมั่นคงแล้ว   นายกรม  แสนมิตร  ผู้ใหญ่บ้านและผู้เฒ่าผู้แก่  คิดถึงบ้านพ่อเมืองแม่  จึงได้ปรึกษาหารือกันว่าอยากทำกองกฐินไปทอดที่บ้านเดิม  เมื่อเห็นพ้องต้องกันแล้วจึงตกลงสร้างถนนเพื่อเป็นทางไปทอดถวายกฐินที่บ้านโพนสาวเอ้  ในปี พ.ศ. 2473  ต่อมาประมาณปี  พ.ศ. 2493  ผู้ใหญ่กรม  แสนมิตร ได้เกษียณอายุราชการ  การเลือกตั้งกำนันผู้ใหญ่บ้านสมัยนั้นเป็นการเลือกตั้งแบบเปิดเผยโดยการใช้วิธีการยกมือ  เป็นการตัดสินแพ้ชนะ  ผู้ใหญ่บ้านคนที่ 4  ของบ้านนาบัวคือ  นายเกียรติ  นามพลแสน  ต่อมาในปีพ.ศ.2498  นายบุญทัน  จิตมาตย์ เป็นผู้ใหญ่บ้านคนที่ 5   และบ้านนาบัวได้แยกออกเป็นบ้านหนองกุงและมีนายบัวลำ  ราชสินธ์  เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก

            ในปี พ.ศ. 2500  มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง  ผู้นำรัฐบาลในสมัยนั้น  คือ  จอมพล สฤษดิ์  ธนะรัชต์  และฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาลนำโดยนายภูมิ  ชัยบัณฑิต  เป็นผู้นำการเคลื่อนไหวครั้งแรกที่บ้านหนองกุง  มีการต่อสู้กันขึ้นที่เถียงนาพ่อสี  ราชสินธิ์ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2504  ได้มีการจับกุมราษฎร์ในหมู่บ้าน  ในข้อหาอันธพาล  ได้นำไปขังลืมไว้ที่อำเภอธาตุพนม   จังหวัดนครพนม จังหวัดอุดรธานี  และย้ายนักโทษไปขังไว้ที่เรือนจำนครบาล  กรุงเทพ ฯ  ครั้งสุดท้ายได้นำนักโทษไปขังไว้ที่เรือนจำราชบัวขาว จังหวัดนครราชสีมา  ซึ่งมีราษฎรในหมู่บ้านนาบัวและหนองกุงถูกจับไปด้วย  9  คน  ในปี พ.ศ. 2507  ราษฎรที่ถูกจับในข้อหาอันธพาลก็ถูกปล่อยตัวพ้นจากการเป็นนักโทษกลับมาสู่ภูมิลำเนาของตัวเอง  ในเดือนกันยายน  พ.ศ.  2507    ราษฎรในหมู่บ้านถูกยิงตาย  1  คน คือ  นายคุณรม  ไชยราช ในเดือนพฤศจิกายน  พ.ศ 2507   นายภูมิมา   ราชสินธิ์  ผู้มีความขัดแย้งทางการเมืองกับรัฐบาล ซึ่งเป็นราษฎรบ้านหนองกุงถูกยิงเสียชีวิต  ในระยะนี้ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์กับรัฐบาลรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทางรัฐบาลได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ  ทหารและอาสาสมัคร  มาเคลื่อนไหวปราบปรามราษฎรที่มีความคิดขัดแย้งกับรัฐบาลในเขตบ้านนาบัวและบ้านใกล้เคียง  ราษฎรในพื้นที่บ้านนาบัวได้ทยอยกันเข้าป่า  เพื่อรวมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์มากขึ้น  ในระยะนั้นผู้ใหญ่บ้าน คือ  นายอัมลา  นามพลแสน  (คนที่ 6)   ในวันที่  7  สิงหาคม 2508  ทางการได้ส่งตำรวจทหารออดปราบปรามฝ่ายคอมมิวนิสต์อย่างหนัก  ในพื้นที่รอยต่อสามอำเภอ  คือ  อำเภอธาตุพนม  อำเภอเมือง  อำเภอนาแก  พื้นที่ระหว่างบ้านนาบัว  บ้านหนองฮี  บ้านดงอินำ ได้เกิดการปะทะขึ้นระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย  นานประมาณ  45  นาที  ปรากฏว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่เสียชีวิต  1  นาย  บาดเจ็บ  4  นาย    ฝ่ายสมาชิกคอมมิวนิสต์เสียชีวิต  1  นาย  คือ นายกองสิน  จิตมาตย์  ( สหายเสถียร )  ซึ่งเรียกเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า  “ วันเสียงปืนแตก ”  เหตุการณ์บ้านเมืองในขณะนั้นมีความเดือนร้อนเป็นอันมาก
            ในปี พ.ศ. 2509  ทางราชการยิ่งปราบปรามมากยิ่งขึ้น  ผู้ใหญ่อัมลา  นามพลแสน  พร้อมกับราษฎรหลายคนในหมู่บ้าน  ถูกจับในข้อหากระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์  จึงได้มีการเลือกตั้งผู้ใหญ่ขึ้นมาใหม่เป็นคนที่ 7  คือ  นายบุษบา  แสนมิตร   ทางการยิ่งเร่งการปราบปรามมากยิ่งขึ้น  สั่งให้ราษฎร์ทำรั้วรอบหมู่บ้านอย่างแน่นหนาด้วยหนาม  สั่งให้ชาวบ้านไปรายงานตัวก่อนออกไปทำไร่ทำนา  และช่วงกลับมาบ้านอย่างเคร่งครัด  ถ้าราษฎร์คนไหนฝ่าฝืนจะถูกลงโทษอย่างหนัก  เช่น  เตะ  ตี  และนำไปคุมขังที่ค่ายทหารบ้านหนองฮี  และส่งไปที่ค่ายทหารกองทัพภาคที่ 2  จังหวัดมุกดาหาร  ส่วนเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในหมู่บ้านที่เหลือต้องอยู่เวรยามภายในรั้วหนามของหมู่บ้าน  เมื่อทางราชการเร่งมือในการปราบปรามราษฎร  ราษฎรก็ยิ่งหลั่งไหลเข้าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์มากยิ่งขึ้น   เรื่อยมาจนถึง พ.ศ. 2520  ทางกองทัพภาคที่ 2  มีนโยบาย  66/23   ราษฎรที่เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์เริ่มทยอยกลับเข้ามามอบตัวกับทางการเป็นระยะ ๆ และในสมัยนี้โดยการนำของผู้ใหญ่บุษบา แสนมิตร ได้เสนอโครงการไฟฟ้าชนบทชาวบ้านได้สมทบโครงการด้วยเสาไม้ และคอนสายไฟฟ้า หรือสมทบเงินครัวเรือนละประมาณ 170 บาท หมู่บ้านนาบัวจึงมีไฟฟ้าใช้เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2522   ในวันที่ สิงหาคม 2522 ทางราชการได้จัดงานวันเสียงปืนดับขึ้นเป็นครั้งแรก มีการฝึก ทสปช. โดยพลโทเปรม ติณสูลานนท์ มาทำพิธีปิดการฝึกอบรม ใน ปี พ.ศ. 2522  นายไสว  แสนมิตร  ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านคนที่ การต่อสู้ระหว่างทางราชการกับกองกำลังติดอาวุธพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศไทยก็ลดลงมาเรื่อย ๆ
ปี พ.ศ. 2535  ได้แยกหมู่บ้านนาบัวเป็น หมู่บ้าน  คือ  หมู่ที่  5 กับ หมู่ที่ 13 มี นายคำสิงห์   จิตมาตย์  เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 13 คนแรก และผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ยังคงเป็นนายไสว แสนมิตร  ใน ปีพ.ศ. 2537 บ้านนาบัวหมู่ที่ 13  แยกออกเป็นหมู่ที่ 14 อีกหนึ่งหมู่บ้าน  มี  นายท่อนแก้ว   ราชสินธ์  เป็นผู้ใหญ่บ้าน การต่อสู้กันของพรรคคอมมิวนิสต์กับทางการเริ่มสงบลง  ราษฎรที่ออกป่ากลับเข้าร่วมพัฒนาชาติไทยเกือบหมด  ที่เหลือก็คงตกค้างอยู่ที่ต่างประเทศ  เช่น  ประเทศลาว    และในปี  พ.ศ. 2537 นี้   นายไสว แสนมิตร  ก็เกษียณอายุราชการ    นายทิพจันทร์ แสนมิตร ได้รับเลือกให้เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ คนที่ 9     ในช่วงนี้รัฐบาลมีการพัฒนาประชาธิปไตยมากขึ้น  ราษฎร์มีสิทธิ์เสรีภาพมากขึ้น  ต่อมาใน ปี พ.ศ. 2542  ผู้ใหญ่ทิพจันทร์  ได้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในตับ        นายลำสินธิ์  จิตมาตย์  ได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ คนต่อมาเป็นคนที่  10     ปลายปี พ.ศ.2543  ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 13 นายคำสิงห์  จิตมาตย์   เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง  นายวีระชัย  จิตมาตย์  ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 13 คนที่ 2    ต่อมาปี พ.ศ.2547  ผู้ใหญ่ลำสินธิ์ หมดวาระลง จึงมีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านใหม่   ผู้ได้รับเลือกคือ นายสุระศักดิ์ จิตมาตย์  ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบัน ลำดับที่  11    ในปี พ.ศ. 2548 นายวีระชัย  จิตมาตย์  ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 13  ลาออกเพื่อร่วมทีมการเมืองท้องถิ่น จึงมีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านคนใหม่  ผู้ได้รับเลือกคือ นายสาคร  จิตมาตย์  เป็นผู้ใหญ่หมู่ที่ 13 คนปัจจุบัน

          สำหรับบ้านนาบัวหมู่ 14   เป็นราษฎรของบ้านนาบัวหมู่  5 และหมู่  13  ซึ่งได้รวมเงินกันเพื่อซื้อที่ดินของ  นายออนมณี   ราชสินธ์   ในราคา  5,500  บาท   โดยการนำของนายปราใส  นครเขต   ในปี  พ.ศ.2510  หลังจากซื้อแล้วได้ร่วมมือกันเพื่อวางผังบ้าน  โดยมีการแบ่งเป็นแปลง  แต่ละแปลงมีความกว้าง  8  เมตรและตัดถนนผ่านหมู่บ้าน และรอบบ้านอีก  ไม่นานนักในปี  พ.ศ.2517  ก็มีราษฎรของบ้านนาบัวหมู่  5  ออกมาตั้งบ้านเรือนในที่ดินแปลงนี้  โดยการนำของ  นายครสี   เหลื่อมเภา  ,นายท่อนแก้ว   ราชสินธ์  ,  และนายสัมพันธ์  บัวชุม  ต่อจากนั้นก็มีเพื่อนบ้านออกมาตั้งบ้านเรือนทุกปี  ส่วนหนึ่งก็อยู่ตามหัวไร่ปลายนา      ในปีพ.ศ.2535 บ้านนาบัวหมู่ 5ได้แยกเป็น  2  หมู่บ้าน คือหมู่  5  และหมู่  13   ในสมัยนายคำสิงห์  จิตมาตย์ เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ 13   โดยมี  นายท่อนแก้ว   ราชสินธ์  เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน นั้น ชาวบ้านได้ทยอยกันออกมาตั้งบ้านเรือนอยู่เรื่อยๆ  เนื่องจากชุมชนที่อยู่ใหม่นี้ห่างจากที่อยู่เดิม (หมู่  13 )  ประมาณ  1  กิโลเมตรเศษ  เมื่อมีการประชุมในเรื่องของส่วนราชการหรือการประสานงาน  มีความลำบากพอสมควรเพราะต้องเดินทางเข้าไปรับทราบ  ข่าวสารในส่วนของทางราชการ  ดังนั้นทางผู้นำจึงได้ปรึกษาหารือกัน  เพื่อขอแยกเป็นอีกหมู่บ้านหนึ่ง   ซึ่งมีประมาณ  20  หลังคาเรือน  ทางอำเภอก็เห็นชอบให้แบ่งแยกหมู่บ้านจึงได้อนุมัติจัดตั้งหมู่บ้านนาบัว  หมู่  14  ขึ้น ในปี พ.ศ.2537
           

ทำเนียบผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 5
คนที่ นายจิตปัญญา  แสนมิตร  (นายเชียงมัง ) ประมาณปี พ.ศ.2445-2454
คนที่ นายวรรณทอง  นามพลแสน                 ประมาณปี พ.ศ.2454
คนที่ นายกรม  แสนมิตร                          ประมาณปี พ.ศ.24..-2493
คนที่ นายเกียรติ  นามพลแสน                    ประมาณปี พ.ศ.2493-2498
คนที่ นายบุญทัน  จิตมาตย์                       ประมาณปี พ.ศ.2498-2508
คนที่ นายอัมลา  นามพลแสน            ประมาณปี พ.ศ.2508-2509
คนที่ นายบุษบา  แสนมิตร                         ประมาณปี พ.ศ.2509-2522
คนที่ นายไสว  แสนมิตร                           ประมาณปี พ.ศ.2522-2537
คนที่ นายทิพจันทร์ แสนมิตร                      ประมาณปี  พ.ศ.2537-2542
คนที่ 10 นายลำสินธิ์  จิตมาตย์                       ประมาณปี  พ.ศ.2542-2547
คนที่ 11 นายสุระศักดิ์  จิตมาตย์                    ประมาณปี  พ.ศ.2547-ปัจจุบัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น