วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ประวัติบ้านนาบั่ว




ภูมิหลัง
การจักสานเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนที่สำคัญยิ่งต่อการดำรงชีวิตตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การจักสานเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นภูมิปัญญาอันเฉลียวฉลาดของคนในท้องถิ่น ที่ใช้ภูมิปัญญาสามารถนำสิ่งที่มีอยู่ในชุมชนมาประยุกต์ทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีประโยชน์ในการดำรงชีวิต การจักสานมีมานานแล้ว และได้มีการพัฒนามาตลอดเวลาโดยอาศัยการถ่ายทอดความรู้จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง การดำรงชีวิตประจำวันของชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ได้เอาการรู้หนังสือมาเกี่ยวข้อง การเรียนรู้ต่างๆ อาศัยวิธีการฝึกหัดและบอกเล่าซึ่งไม่เป็นระบบในการบันทึก สะท้อนให้เห็นการเรียนรู้ ความรู้ที่สะสมที่สืบทอดกันมาจากอดีตมาถึงปัจจุบันหรือที่เรียกกันว่า ภูมิปัญญาท้องถิ่น ดังนั้นกระบวนถ่ายทอดความรู้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่ทำภูมิปัญญาท้องถิ่นนั้นคงอยู่ต่อเนื่องและยั่งยืน การจักสานตะกร้าไม้ไผ่ ได้สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ถ่ายทอดภูมิปัญญาจากรุนสู่รุ่น เกิดจากความคิดในการนำเอาไม้ไผ่ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีอยู่ในหมูบ้าน นำมาแปรรูปเป็นตะกร้า โดยมี คุณตาสนิท แพนสิงห์ เป็นผู้จักสาน

ประวัติบ้านนาบั่ว  
                บ้านนาบั่ว ตั้งขึ้นเมื่อปี  พ.ศ. 2434  ประชากรได้อพยพมาจากบ้านโพนสาวเอ้  เป็นส่วนใหญ่ประมาณ  90 % และมาจากบ้านโนนสังข์  10 % ของประชากรที่ก่อตั้งหมู่บ้าน  โดยก่อตั้งครั้งแรกที่โนนหนองบัว  ปัจจุบันอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของหมู่บ้าน  (หนองแวง ) โดยการนำของ   นายจันทร์สอน จิตมาตย์ ซึ่งมีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันถึง คน น้องคนที่ มีบุตรมากถึง 10 คน เมื่อไม่มีที่ทำกินจึงได้พาน้องขี่ม้ามาหาจับจองที่ทำกินบริเวณหนองบัวในปัจจุบัน  ในเมื่อน้องๆ มีที่ทำกินอุดมสมบูรณ์แล้ว  ผู้เป็นพี่ชายคือ ปู่จันทร์สอนก็กลับไปอยู่ที่บ้านเดิม (บ้านโพนสาวเอ้) และให้น้องคนที่ คือ ปู่ชินจักร จิตมาตย์ ก่อตั้งบ้านอยู่ที่หนองบัว   อีกปีต่อมาน้องทั้ง คน ก็ติดตามมาอยู่ด้วย   จึงได้แบ่งปันที่ทำกินและที่อยู่อาศัยให้ และนอกจากนั้นยังมี   นายไกรบุตร ราชสินธ์  นางลุน  นางทุมมี  นางอ่อนสี  เป็นต้นได้ย้ายมาอยู่ด้วย  จนได้เป็นหมู่บ้านนาบัว ในปัจจุบัน 
            ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2445  ได้ยกฐานะเป็นหมู่บ้านและได้มีการแต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านขึ้น  เป็นคนแรก  คือ  นายจิตปัญญา  แสนมิตร  (นายเชียงมัง )  และสร้างวัด บัวขาวขึ้นในปี พ.ศ. 2445  โดยการนำของพระเทศ  นามพลแสน  งานหลักในการสร้างบ้านแปลงเมืองในขณะนั้น  คือ การพัฒนาที่ทำกินมากกว่าอย่างอื่น  เช่น  การเบิกถางที่นา  ทำสวน  เป็นต้น  ในปี พ.ศ.2454  ผู้ใหญ่บ้านคนแรกได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา  จึงได้รับการแต่ตั้งผู้ใหญ่บ้านคนที่  2  คือ  นายวรรณทอง  นามพลแสน  ในขณะนั้นบ้านนาบัวมีทั้งหมด  30  ครอบครัว  แต่ขณะนั้นที่ตั้งหมู่บ้านถูกน้ำท่วม  จึงได้ย้ายที่ตั้งของหมู่บ้านใหม่  ซึ่งคือที่ตั้งของหมู่บ้านปัจจุบัน  ส่วนพี่น้องที่อยู่บ้านโพนสาวเอ้  และบ้านโนนสังข์ก็ได้ย้ายมาอยู่เพิ่มเรื่อย ๆ  ช่วงนี้ผู้ใหญ่วรรณทอง ได้เกษียณอายุราชการ  จึงได้แต่งตั้งผู้ใหญ่กรม  แสนมิตร  ขึ้นมาแทน  การสัญจรไปมากับส่วนราชการมีความยากลำบากมาก  เพราะไม่มีเส้นทางคมนาคมเหมือนในปัจจุบัน  ขณะนั้นบ้านนาบัวขึ้นต่อตำบลเรณูนคร เป็นหมู่ที่ 14 ของตำบลเรณู อำเภอธาตุพนม พาหนะในสมัยนั้นใช้เกวียนโดยใช้โคกระบือในการลาก  การเดินทางไปติดต่อกับตำบลหรืออำเภอ  คือ การเดินเท้า
ในระยะเวลานั้นชาวบ้านนาบัวได้ตั้งถิ่นฐานมั่นคงแล้ว   นายกรม  แสนมิตร  ผู้ใหญ่บ้านและผู้เฒ่าผู้แก่  คิดถึงบ้านพ่อเมืองแม่  จึงได้ปรึกษาหารือกันว่าอยากทำกองกฐินไปทอดที่บ้านเดิม  เมื่อเห็นพ้องต้องกันแล้วจึงตกลงสร้างถนนเพื่อเป็นทางไปทอดถวายกฐินที่บ้านโพนสาวเอ้  ในปี พ.ศ. 2473  ต่อมาประมาณปี  พ.ศ. 2493  ผู้ใหญ่กรม  แสนมิตร ได้เกษียณอายุราชการ  การเลือกตั้งกำนันผู้ใหญ่บ้านสมัยนั้นเป็นการเลือกตั้งแบบเปิดเผยโดยการใช้วิธีการยกมือ  เป็นการตัดสินแพ้ชนะ  ผู้ใหญ่บ้านคนที่ 4  ของบ้านนาบัวคือ  นายเกียรติ  นามพลแสน  ต่อมาในปีพ.ศ.2498  นายบุญทัน  จิตมาตย์ เป็นผู้ใหญ่บ้านคนที่ 5   และบ้านนาบัวได้แยกออกเป็นบ้านหนองกุงและมีนายบัวลำ  ราชสินธ์  เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก

            ในปี พ.ศ. 2500  มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง  ผู้นำรัฐบาลในสมัยนั้น  คือ  จอมพล สฤษดิ์  ธนะรัชต์  และฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาลนำโดยนายภูมิ  ชัยบัณฑิต  เป็นผู้นำการเคลื่อนไหวครั้งแรกที่บ้านหนองกุง  มีการต่อสู้กันขึ้นที่เถียงนาพ่อสี  ราชสินธิ์ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2504  ได้มีการจับกุมราษฎร์ในหมู่บ้าน  ในข้อหาอันธพาล  ได้นำไปขังลืมไว้ที่อำเภอธาตุพนม   จังหวัดนครพนม จังหวัดอุดรธานี  และย้ายนักโทษไปขังไว้ที่เรือนจำนครบาล  กรุงเทพ ฯ  ครั้งสุดท้ายได้นำนักโทษไปขังไว้ที่เรือนจำราชบัวขาว จังหวัดนครราชสีมา  ซึ่งมีราษฎรในหมู่บ้านนาบัวและหนองกุงถูกจับไปด้วย  9  คน  ในปี พ.ศ. 2507  ราษฎรที่ถูกจับในข้อหาอันธพาลก็ถูกปล่อยตัวพ้นจากการเป็นนักโทษกลับมาสู่ภูมิลำเนาของตัวเอง  ในเดือนกันยายน  พ.ศ.  2507    ราษฎรในหมู่บ้านถูกยิงตาย  1  คน คือ  นายคุณรม  ไชยราช ในเดือนพฤศจิกายน  พ.ศ 2507   นายภูมิมา   ราชสินธิ์  ผู้มีความขัดแย้งทางการเมืองกับรัฐบาล ซึ่งเป็นราษฎรบ้านหนองกุงถูกยิงเสียชีวิต  ในระยะนี้ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์กับรัฐบาลรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทางรัฐบาลได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ  ทหารและอาสาสมัคร  มาเคลื่อนไหวปราบปรามราษฎรที่มีความคิดขัดแย้งกับรัฐบาลในเขตบ้านนาบัวและบ้านใกล้เคียง  ราษฎรในพื้นที่บ้านนาบัวได้ทยอยกันเข้าป่า  เพื่อรวมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์มากขึ้น  ในระยะนั้นผู้ใหญ่บ้าน คือ  นายอัมลา  นามพลแสน  (คนที่ 6)   ในวันที่  7  สิงหาคม 2508  ทางการได้ส่งตำรวจทหารออดปราบปรามฝ่ายคอมมิวนิสต์อย่างหนัก  ในพื้นที่รอยต่อสามอำเภอ  คือ  อำเภอธาตุพนม  อำเภอเมือง  อำเภอนาแก  พื้นที่ระหว่างบ้านนาบัว  บ้านหนองฮี  บ้านดงอินำ ได้เกิดการปะทะขึ้นระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย  นานประมาณ  45  นาที  ปรากฏว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่เสียชีวิต  1  นาย  บาดเจ็บ  4  นาย    ฝ่ายสมาชิกคอมมิวนิสต์เสียชีวิต  1  นาย  คือ นายกองสิน  จิตมาตย์  ( สหายเสถียร )  ซึ่งเรียกเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า  “ วันเสียงปืนแตก ”  เหตุการณ์บ้านเมืองในขณะนั้นมีความเดือนร้อนเป็นอันมาก
            ในปี พ.ศ. 2509  ทางราชการยิ่งปราบปรามมากยิ่งขึ้น  ผู้ใหญ่อัมลา  นามพลแสน  พร้อมกับราษฎรหลายคนในหมู่บ้าน  ถูกจับในข้อหากระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์  จึงได้มีการเลือกตั้งผู้ใหญ่ขึ้นมาใหม่เป็นคนที่ 7  คือ  นายบุษบา  แสนมิตร   ทางการยิ่งเร่งการปราบปรามมากยิ่งขึ้น  สั่งให้ราษฎร์ทำรั้วรอบหมู่บ้านอย่างแน่นหนาด้วยหนาม  สั่งให้ชาวบ้านไปรายงานตัวก่อนออกไปทำไร่ทำนา  และช่วงกลับมาบ้านอย่างเคร่งครัด  ถ้าราษฎร์คนไหนฝ่าฝืนจะถูกลงโทษอย่างหนัก  เช่น  เตะ  ตี  และนำไปคุมขังที่ค่ายทหารบ้านหนองฮี  และส่งไปที่ค่ายทหารกองทัพภาคที่ 2  จังหวัดมุกดาหาร  ส่วนเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในหมู่บ้านที่เหลือต้องอยู่เวรยามภายในรั้วหนามของหมู่บ้าน  เมื่อทางราชการเร่งมือในการปราบปรามราษฎร  ราษฎรก็ยิ่งหลั่งไหลเข้าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์มากยิ่งขึ้น   เรื่อยมาจนถึง พ.ศ. 2520  ทางกองทัพภาคที่ 2  มีนโยบาย  66/23   ราษฎรที่เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์เริ่มทยอยกลับเข้ามามอบตัวกับทางการเป็นระยะ ๆ และในสมัยนี้โดยการนำของผู้ใหญ่บุษบา แสนมิตร ได้เสนอโครงการไฟฟ้าชนบทชาวบ้านได้สมทบโครงการด้วยเสาไม้ และคอนสายไฟฟ้า หรือสมทบเงินครัวเรือนละประมาณ 170 บาท หมู่บ้านนาบัวจึงมีไฟฟ้าใช้เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2522   ในวันที่ สิงหาคม 2522 ทางราชการได้จัดงานวันเสียงปืนดับขึ้นเป็นครั้งแรก มีการฝึก ทสปช. โดยพลโทเปรม ติณสูลานนท์ มาทำพิธีปิดการฝึกอบรม ใน ปี พ.ศ. 2522  นายไสว  แสนมิตร  ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านคนที่ การต่อสู้ระหว่างทางราชการกับกองกำลังติดอาวุธพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศไทยก็ลดลงมาเรื่อย ๆ
ปี พ.ศ. 2535  ได้แยกหมู่บ้านนาบัวเป็น หมู่บ้าน  คือ  หมู่ที่  5 กับ หมู่ที่ 13 มี นายคำสิงห์   จิตมาตย์  เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 13 คนแรก และผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ยังคงเป็นนายไสว แสนมิตร  ใน ปีพ.ศ. 2537 บ้านนาบัวหมู่ที่ 13  แยกออกเป็นหมู่ที่ 14 อีกหนึ่งหมู่บ้าน  มี  นายท่อนแก้ว   ราชสินธ์  เป็นผู้ใหญ่บ้าน การต่อสู้กันของพรรคคอมมิวนิสต์กับทางการเริ่มสงบลง  ราษฎรที่ออกป่ากลับเข้าร่วมพัฒนาชาติไทยเกือบหมด  ที่เหลือก็คงตกค้างอยู่ที่ต่างประเทศ  เช่น  ประเทศลาว    และในปี  พ.ศ. 2537 นี้   นายไสว แสนมิตร  ก็เกษียณอายุราชการ    นายทิพจันทร์ แสนมิตร ได้รับเลือกให้เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ คนที่ 9     ในช่วงนี้รัฐบาลมีการพัฒนาประชาธิปไตยมากขึ้น  ราษฎร์มีสิทธิ์เสรีภาพมากขึ้น  ต่อมาใน ปี พ.ศ. 2542  ผู้ใหญ่ทิพจันทร์  ได้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในตับ        นายลำสินธิ์  จิตมาตย์  ได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ คนต่อมาเป็นคนที่  10     ปลายปี พ.ศ.2543  ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 13 นายคำสิงห์  จิตมาตย์   เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง  นายวีระชัย  จิตมาตย์  ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 13 คนที่ 2    ต่อมาปี พ.ศ.2547  ผู้ใหญ่ลำสินธิ์ หมดวาระลง จึงมีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านใหม่   ผู้ได้รับเลือกคือ นายสุระศักดิ์ จิตมาตย์  ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบัน ลำดับที่  11    ในปี พ.ศ. 2548 นายวีระชัย  จิตมาตย์  ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 13  ลาออกเพื่อร่วมทีมการเมืองท้องถิ่น จึงมีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านคนใหม่  ผู้ได้รับเลือกคือ นายสาคร  จิตมาตย์  เป็นผู้ใหญ่หมู่ที่ 13 คนปัจจุบัน

          สำหรับบ้านนาบัวหมู่ 14   เป็นราษฎรของบ้านนาบัวหมู่  5 และหมู่  13  ซึ่งได้รวมเงินกันเพื่อซื้อที่ดินของ  นายออนมณี   ราชสินธ์   ในราคา  5,500  บาท   โดยการนำของนายปราใส  นครเขต   ในปี  พ.ศ.2510  หลังจากซื้อแล้วได้ร่วมมือกันเพื่อวางผังบ้าน  โดยมีการแบ่งเป็นแปลง  แต่ละแปลงมีความกว้าง  8  เมตรและตัดถนนผ่านหมู่บ้าน และรอบบ้านอีก  ไม่นานนักในปี  พ.ศ.2517  ก็มีราษฎรของบ้านนาบัวหมู่  5  ออกมาตั้งบ้านเรือนในที่ดินแปลงนี้  โดยการนำของ  นายครสี   เหลื่อมเภา  ,นายท่อนแก้ว   ราชสินธ์  ,  และนายสัมพันธ์  บัวชุม  ต่อจากนั้นก็มีเพื่อนบ้านออกมาตั้งบ้านเรือนทุกปี  ส่วนหนึ่งก็อยู่ตามหัวไร่ปลายนา      ในปีพ.ศ.2535 บ้านนาบัวหมู่ 5ได้แยกเป็น  2  หมู่บ้าน คือหมู่  5  และหมู่  13   ในสมัยนายคำสิงห์  จิตมาตย์ เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ 13   โดยมี  นายท่อนแก้ว   ราชสินธ์  เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน นั้น ชาวบ้านได้ทยอยกันออกมาตั้งบ้านเรือนอยู่เรื่อยๆ  เนื่องจากชุมชนที่อยู่ใหม่นี้ห่างจากที่อยู่เดิม (หมู่  13 )  ประมาณ  1  กิโลเมตรเศษ  เมื่อมีการประชุมในเรื่องของส่วนราชการหรือการประสานงาน  มีความลำบากพอสมควรเพราะต้องเดินทางเข้าไปรับทราบ  ข่าวสารในส่วนของทางราชการ  ดังนั้นทางผู้นำจึงได้ปรึกษาหารือกัน  เพื่อขอแยกเป็นอีกหมู่บ้านหนึ่ง   ซึ่งมีประมาณ  20  หลังคาเรือน  ทางอำเภอก็เห็นชอบให้แบ่งแยกหมู่บ้านจึงได้อนุมัติจัดตั้งหมู่บ้านนาบัว  หมู่  14  ขึ้น ในปี พ.ศ.2537
           

ทำเนียบผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 5
คนที่ นายจิตปัญญา  แสนมิตร  (นายเชียงมัง ) ประมาณปี พ.ศ.2445-2454
คนที่ นายวรรณทอง  นามพลแสน                 ประมาณปี พ.ศ.2454
คนที่ นายกรม  แสนมิตร                          ประมาณปี พ.ศ.24..-2493
คนที่ นายเกียรติ  นามพลแสน                    ประมาณปี พ.ศ.2493-2498
คนที่ นายบุญทัน  จิตมาตย์                       ประมาณปี พ.ศ.2498-2508
คนที่ นายอัมลา  นามพลแสน            ประมาณปี พ.ศ.2508-2509
คนที่ นายบุษบา  แสนมิตร                         ประมาณปี พ.ศ.2509-2522
คนที่ นายไสว  แสนมิตร                           ประมาณปี พ.ศ.2522-2537
คนที่ นายทิพจันทร์ แสนมิตร                      ประมาณปี  พ.ศ.2537-2542
คนที่ 10 นายลำสินธิ์  จิตมาตย์                       ประมาณปี  พ.ศ.2542-2547
คนที่ 11 นายสุระศักดิ์  จิตมาตย์                    ประมาณปี  พ.ศ.2547-ปัจจุบัน

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

หลักสูตรโรงเรียนสาธิต พิบูลบำเพ็ญ มหาวิทยาลัยบูรพา


หลักสูตรโรงเรียนสาธิต พิบูลบำเพ็ญ มหาวิทยาลัยบูรพา
            หลักสูตรสถานศึกษาฝ่ายปฐมวัยของโรงเรียนได้จัดทำขึ้นโดยนำสภาพต่างๆ ที่เป็นจุดเด่น จุดที่ควรพัฒนาเอกลักษณ์ของชุมชน สังคม ศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นมากำหนดเป็นสาระและการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้แก่เด็กปฐมวัย
            หลักสูตรของโรงเรียนสาธิต  พิบูลบำเพ็ญ มหาวิทยาลัยบูรพา จะเน้นกิจกรรมพัฒนาทุกด้านของเด็ก ไม่ว่าจะเป็น บูรณาการ จะเน้นไปที่ พัฒนาการทั้ง 4 ด้านของเด็ก  ด้านภาษาไทย ฝึกในการฟัง พูด อ่าน เขียน คณิตศาสตร์ ฝึกปฏิบัติทางด้านคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐาน เช่น การ บวก ลบ คูณ หาร เป็นต้น ด้านภาษาอังกฤษ ฝึกทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน เกี่ยวกับวัฒนธรรมของประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ เป็นต้น
            โรงเรียนได้เน้นเรื่องกิจกรรมในเรื่องการเรียน การสอน เพื่อให้เด็กบรรลุจุดมุ่งหมายของหลักสูตรทั้งหมด เพื่อให้เด็กได้รับความรู้และความสามารถที่มีคุณภาพสูง

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ วิจารณ์ พานิช


ศาสตราจารย์ นายแพทย์ วิจารณ์ พานิช ผู้ก่อตั้งและอดีตประธานสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย และก่อตั้งสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม ปัจจุบันทำหน้าที่รักษาการนายกสภาสถาบันอาศรมศิลป์ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญของประเทศในการสร้างและพัฒนาระบบบริหารจัดการงานวิจัย และการจัดการความรู้ ได้กล่าวถึงทักษะที่สำคัญในทศวรรษที่213R8C ไว้ว่า



วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ ในศตวรรษที่ 21
การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ต้อง “ก้าวข้ามสาระวิชา” ไปสู่การเรียนรู้ “ทักษะเพื่อการดํารงชีวิตในศตวรรษที่ 21” (21stCentury Skills)  ให้นักเรียน เรียนรู้จากการเรียน แบบลงมือทํา แล้วการเรียนรู้ก็จะเกิดจากภายในใจ และสมองของตนเอง การเรียนรู้แบบนี้เรียกว่า PBL (Project-based Learning)ครูเพื่อศิษย์ต้องเรียนรู้ทักษะใน

PBL (Problem-based Learning : การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน) คือ การเรียนรู้ที่ใช้ปัญหาเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความต้องการที่จะใฝ่หาความรู้เพื่อแก้ปัญหา เป็นเทคนิคการสอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ลงมือ ปฏิบัติด้วยตัวเอง เป็นผู้ตัดสินใจในสิ่งที่ต้องการแสวงหาความรู้  เผชิญหน้ากับปัญหาด้วยตัวเอง และรู้จักการทำงานร่วมกันเป็นทีมภายในกลุ่มผู้เรียน โดยผู้สอนมีส่วนร่วมน้อยที่สุด ซึ่งการเรียนรู้จากปัญหาอาจเป็นสถานการณ์จริง

PBL มีการพัฒนาขึ้นครั้งแรกโดยคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ (Faculty of Health Sciences) ของ มหาวิทยาลัยMcMaster ที่ประเทศแคนาดา ได้ถูกนำมาใช้ในกระบวนการติว (tutorial process) ให้กับ นักศึกษาแพทย์ฝึกหัด จนกระทั่งกลางปี ค.ศ. 1980 เทคนิคการสอนโดยใช้รูปแบบ PBL ได้เริ่มขยายออกไปสู่การสอนในสาขาอื่น ๆ เช่น วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาศาสตร์ สังคมศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์
ยุคศตวรรษที่ 21 ปัจจุบันการเรียนรู้สาระวิชา (Content หรือ Subject matter) ควรเป็นการเรียนจากการค้นคว้าเองของศิษย์ โดยครูช่วยแนะนํา และช่วยออกแบบกิจกรรมที่ช่วยให้นักเรียนแต่ละคนสามารถประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของตนเองได้

ยุคศตวรรษที่ 21 ปัจจุบันการเรียนรู้สาระวิชา (Content หรือ Subject matter) ควรเป็นการเรียนจาก
การค้นคว้าเองของศิษย์ โดยครูช่วยแนะนํา และช่วยออกแบบกิจกรรมที่ช่วยให้นักเรียนแต่ละคนสามารถประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของตนเองได้

สำหรับโลกในศตวรรษที่ 21 นอกจากความรู้ในวิชาหลัก ที่เด็กควรจะได้รับการสอน
เด็กจะต้องควรรู้แนวคิดสำคัญในศตวรรษที่ 21 ดังแผนภาพต่อไปนี้
นอกจากนี้ยังต้องปลูกฝังทักษะสำคัญ ทักษะ ได้แก่
1.ทักษะเพื่อชีวิตและการทำงานในศตวรรษที่ 21 
2.ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม

3.ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี
          และเพื่อให้กระบวนการเรียนรู้ต่างๆประสบผลสำเร็จ จำเป็นจะต้องมีพื้นฐาน 4ด้าน เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ดังแผนภาพต่อไปนี้


สรุปได้ว่า ทักษะในศตวรรษที่ 21 (21stCentury Skills) เป็นหัวใจสำคัญสำหรับการจัดการศึกษา เพื่อพัฒนามนุษย์มีทักษะยุค 4.0 ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ของการศึกษาแห่งชาติ


หลักสูตรต้องวางแผนเพื่อการบรรลุทักษะในศตวรรษที่ 21

หลักสูตรต้องวางแผนเพื่อการบรรลุทักษะในศตวรรษที่ 21
                ในปี 1983 สมาคมการพัฒนาหลักสูตรและการนิเทศ (Association for Supervision and curriculum development : ASCD)ได้เผยแพร่บทความวิจัย ของ Benjamin I. Troutman and Robert D.Palombo เรื่อง Identifying Futures Trends in Curriculum Planning โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง 36 คนจากโรงเรียน Virginia Beach Public Schools ข้อมูลที่ได้สรุปได้ว่า ในอนาคตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะเป็นตัวชี้การเปลี่ยนแปลงหลักสูตร อันเป็นผลจาก การขยายความรู้ที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว และความรู้มีความเป็นศาสตร์เฉพาะการเพิ่มขึ้น ซึ่งมีการศึกษาผลต่อหลักสูตรใน 3 ประเด็น คือ

1. ความเป็นความรู้ที่ร่วมกันของวิทยาการที่เจริญก้าวหน้า
             2 .ความสมดุลระหว่างความยากลำบากในการได้มาของข้อเท็จจริงกับการพัฒนาทักษะกระบวนการ
             3. เอกสารความรู้ที่ใช้เป็นแหล่งความรู้ในหลักสูตร จากขอบข่ายดังกล่าวนี้กลุ่มตัวอย่างจากโรงเรียน Virginia Beach Public Schools ให้ความเห็นว่าแนวโน้มในอนาคตที่มีผลต่อการวางแผนหลักสูตรมี 15 ประเด็นคือ
              1.ทักษะพื้นฐานทางวิชาการ (Basic Academic Skills) จะต้องให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นกับทักษะการสื่อสาร คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะหลักสูตรอาชีวศึกษา

คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นๆ (Computes and Other Information Technologies) คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นๆมีรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วอุปมาดั่งเช่นเป็นพาหนะขับเคลื่อนการศึกษาสำหรับผู้เรียนทุกคน การพัฒนาแผนสำหรับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในระบบโรงเรียน Virginia Beach Public Schools ตั้งแต่อนุบาลถึงเกรดสิบสอง

ความยืดหยุ่นของหลักสูตร (Curriculum Flexibility)ให้โอกาสอันยิ่งใหญ่ที่มั่งคั่งสมบูรณ์และรวดเร็วจากหลักสูตร สำหรับอนุบาลถึงเกรดสิบสอง

การทบทวนหลักสูตร (Curriculum Revision) พัฒนาแผนปฏิบัติการที่แน่ใจว่าสามารถดำเนินการต่อไปได้ หลักสูตรได้รับการทบทวนและมีการประเมินอย่างเป็นระบบ

ความเป็นประชาธิปไตย (Democratic Ideals)ทำความเข้าใจและให้ความสำคัญกับกระบวนการประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม

โปรแกรมสำหรับเด็กเล็ก (Early Childhood Programs) ขยายโปรแกรมสำหรับเด็กเล็ก (เด็กก่อนอนุบาล)ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสบการณ์การเรียนรู้

การมองอนาคต (Futures Perspective) การรวมขอบเขตสาระเป็นหลักสูตรเดียวโดยสิ่งต่างๆเหล่านั้นเป็นประเด็นสะท้อนและอธิบายประเด็นร่วมสมัย แนวโน้มอนาคต และความสัมพันธ์ระหว่างปัจจุบันกับเหตุการณ์ที่ผ่านไปและทางเลือกในอนาคต

                8 สัมพันธภาพระดับสากล (Global Interrelationships)ให้ความสำคัญกับมุมมองของความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจ และวัฒนธรรม-ชาติพันธุ์ของมนุษย์ที่หลักสูตรต้องมีความหลากหลาย

                9 การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ขยายโอกาสสำหรับสมาชิกของชุมชนในเขตพื้นที่บริการของโรงเรียนที่สนใจเรียนรู้ในรูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต

                10 สื่อมวลชน (Mass Media) ให้ความสำคัญกับทักษะในการวิเคราะห์วิจารณ์ การฟัง และ การดูที่เกี่ยวข้องกับการแปลความหมายจากสื่อ

                11 การเติมเต็มบุคลิกภาพ (Personal Fulfillment) โรงเรียนเป็นสถานที่อันยิ่งใหญ่ที่จะสร้างความคิดต่อตนเองเชิงบวก และพัฒนาสัมพันธภาพระหว่างบุคคล

                12 การประยุกต์กระบวนการ (Process Approach)หลักสูตรมุ่งที่การแก้ปัญหา การตัดสินใจ ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะการคิดขั้นสูง ทักษะการนำไปใช้ การวิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินค่า

                13 การพัฒนาทีมงาน (Staff Development ) เพิ่มโอกาสให้พัฒนาทีมงาน โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยี

                14 ใช้ชุมชน (Use of Community) เพิ่มบทบาทของผู้ปกครองและแหล่งเรียนรู้ในชุมชนในการจัดโปรแกรมการศึกษาเชื่อมโยงการเรียนรู้ในชั้นเรียนกับประสบการณ์ในชุมชน

               15 การอาชีวะและอาชีพศึกษา (Vocational and Career Education) แน่ใจว่าการศึกษาอาชีวและอาชีพสะท้อนการเปลี่ยนแปลงมโนทัศน์ในการทำงานและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้เรียน

 สรุป
      ปัญหาและแนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรพิจารณาได้จากข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรที่ถูกรวบรวมวิเคราะห์เชื่อมโยงเป็นชุดของจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ใช้ในการวางแผนพัฒนาหลักสูตรและนำไปออกแบบหลักสูตร โดยการอธิบายเหตุผลการได้มาของสาระความรู้ในหลักสูตร ที่มีเหตุผลประอบหลักวิชาโดยอาศัยทฤษฎีการเรียนรู้ต่างๆและนักพัฒนาหลักสูตรนำมากำหนดเป้าหมายการพัฒนาผู้เรียน กำหนดสาระเนื้อหาและผลการเรียนรู้ ข้อมูลต่างๆเหล่านี้สามารถเป็นแนวทางช่วยให้อธิบายแนวโน้มของหลักสูตรได้

ปัญหาและแนวโน้มในการพัฒนาหลักสูตร


ปัญหาและแนวโน้มในการพัฒนาหลักสูตร
ปัญหาของการพัฒนาหลักสูตรคือปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ที่เป็นปัญหาอันเกิดจากการร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมกันสร้างหลักสูตร และร่วมกันนำหลักสูตรไปใช้ มีดังนี้
1. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลักสูตรไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ของตน
2. ขาดการประสานงานหน้าที่ที่ดีระหว่างหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลักสูตร
3. ผู้บริหารระดับต่างๆเห็นว่าหลักสูตรเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยเฉพาะ
4. ปัญหาการไม่เปลี่ยนแปลงการเรียนการสอนของครูตามแนวทางของหลักสูตร
5. ปัญหาการเผยแพร่หลักสูตร การสื่อสารทำความเข้าใจในหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นใหม่
แนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตร
เมื่อกล่าวถึงแนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตร มีประเด็นสำคัญเกี่ยวข้อง 2 ประเด็นคือ ข้อมูลที่นำมาเป็นพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร กับการวิจัยทางการศึกษา โดยจะพบว่า ในระยะเวลาประมาณ 10 ปีและจากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องสรุปดังนี้
                รายงานการศึกษาวิจัยในช่วงทศวรรษ 1940 และ 1950 มุ่งศึกษา ตัวแปรทำนานจากคุณสมบัติของครู มีความเชื่อว่าครูที่มีคุณสมบัติมีแนวโน้มที่จะสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
1) เสียง
2) รูปร่างหน้าตา
3) ความมั่นคงในอารมณ์
4) ความน่าเชื่อถือ
5) ความอบอุ่น
6) ความกระตือรือร้น
ต่อมาผลการศึกษาวิจัยความมีประสิทธิภาพของครูในช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 ได้ข้อสรุปและเสนอแนะในการพัฒนาวิชาชีพด้วย การนิเทศแบบคลินิก เทคนิควิธีสังเกตการณ์สอนชั้นเรียน เป็นต้น
               ต่อมาในทศวรรษ 1980 เมเดอลีน ฮันเตอร์ และคณะมหาวิทยาลัยยูซีแอลเอใช้หลักทฤษฎีเป็นฐานในการเรียนการสอนสรุปได้ดังนี้
           1) การสอนมีรากฐานมาจากทฤษฎีการเรียนรู้แบบพฤติกรรมนิยม
           2) การอนุมานจากความคิดในด้านการเรียนรู้ เช่น แรงจูงใจ ความทรงจำ การถ่ายโอนความรู้ เป็นต้น
         ผลการศึกษาวิจัยในช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990 การเปลี่ยนแปลงทัศนะการเรียนรู้แบบพฤติกรรมนิยม เป็นการเรียนรู้ด้วยปัญญา สถานศึกษาใดที่มุ่งมั่นพัฒนาในด้านการประเมินที่มีประสิทธิภาพและการพัฒนาวิชาชีพการสอนจึงต้องเริ่มด้วยการกำหนดมาตรฐานการสอนซึ่งสะท้อนสิ่งที่ครูควรรู้ ในประเทศไทยหน่วยงานหรือองค์กรวิชาชีพครูที่เรียกว่าคุรุสภาได้เสนอกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้มีความรู้สมรรถนะความสามารถในการจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ
         แนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตรอาจพิจารณาได้จากผลการศึกษาวิจัย และข้อมูลพื้นฐานด้านต่างๆ ที่นำมาใช้การพัฒนาหลักสูตร
แนวโน้มของหลักสูตร
 ออนสไตน์ได้สรุปไว้ว่าแนวโน้มของหลักสูตรมีดังนี้
1.การศึกษาในรูปแบบอีเล็กทรอนิกส์ ความเจริญก้าวหน้าของวิดิทัศน์สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนการสอนได้ วีดิโอเทป คาสเสท และดิสค์สามารถนำมาสอนได้ทั้งในห้องเรียน ห้องสมุด ศูนย์การเรียนรู้และที่บ้านของนักเรียน วีดิโอทัศน์มีความสะดวกที่นำมาเรียนได้ตลอดเวลา ซึ่งจะช่วยไม่ให้พลาดบทเรียนไปได้ จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสามารถที่จะพิมพ์วิดิทัศน์หรือภาพจากจอในรูปของภาพถ่าย ตาราง กราฟ หรือ รูปภาพในแบบต่างๆลงในกระดาษสำหรับศึกษาต่อได้
                ความรู้ในรูปแบบอีเล็กทรอนิกส์นี้ยังสามารถจัดเก็บไว้ในสถานที่ที่ผู้เรียนสามารถเข้าถึงได้โดยผ่านระบบเครือข่าย ใครๆก็สามารถเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศและสามารถใช้ประโยชน์ได้
2.การรู้ใช้เทคโนโลยี โรงเรียนปัจจุบันเห็นความสำคัญในวิวัฒนาการใช้เทคโนโลยี จึงได้ให้การศึกษากับบุคลากรเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อีเล็กทรอนิกส์ เลเซอร์และหุ่นยนต์ การเรียนรู้คอมพิวเตอร์ เป็นทักษะพื้นฐานเพิ่มขึ้นจากทักษะการอ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็นหรือที่รู้จักกันว่า 3Rs
3.การเรียนรู้ตลอดชีวิต แนวโน้มการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นความจำเป็นกับสังคมสมัยใหม่อันเป็นผลสืบเนื่องจากความรู้ที่มีมากมาย การเปลี่ยนแปลงของสังคมอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจที่มีผลต่อประชาชนในการประกอบอาชีพที่ปรับเปลี่ยนไปสู่การพัฒนาใหม่ที่มีผลต่อเป้าหมายของบุคคลและสังคม การศึกษาต่อเนื่องตลอดชีวิตไม่ใช่เป็นเพียงการศึกษาในโรงเรียนเท่านั้น การศึกษาผู้ใหญ่จึงถูกคาดหวังเพิ่มขึ้นในปีคริสต์ศตวรรษที่ 1990
4.การศึกษานานาชาติ สังคมอเมริกันถือว่าได้ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาได้มาจากประเทศต่างๆ และได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ หมู่บ้านโลก(global village) กล่าวถึงมาตรฐานของการดำรงชีวิตและเศรษฐกิจของชาติ(อเมริกา)มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่อื่นๆของโลก
5.สิ่งแวดล้อมศึกษา ผลจากปัญหาต่างๆนำไปสู่ความต้องการความรู้และโปรแกรมใหม่ในสาขาวิชานิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมศึกษา ถึงแม้ว่าเดิมที่มีวิชาที่เกี่ยวข้องคือธรณีวิทยา ชีววิทยา ภูมิศาสตร์ แต่ความต้องการความรู้ที่มีความหมายและมีความสัมพันธ์กับการแก้ปัญหาชีวิตและความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์ในยามคับขันหรือช่วงเวลาเร่งด่วน
 6.การศึกษาเกี่ยวกับนิวเคลียร์ การใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ ได้แก่โรงไฟฟ้า การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ การบำบัดด้วยการฉายรังสี ความรู้เรื่องหลังงานนิวเคลียร์มีความจำเป็นว่าพลังงานดังกล่าวนี้มีผลกระทบต่ออากาศ อาหารอย่างไรกรณีที่มีการรั่วไหลจะมีผลกระทบในขอบเขตห่างไกลเพียงใด และความเข็มข้นของรังสีที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ที่อยู่ใกล้และไกลออกไปนับพันไมล์ ดังนั้นหลักสูตรที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาเกี่ยวกับนิวเคลียร์ถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรโลกศึกษา
7.สุขศึกษาและการดูแลสุขภาพกาย แนวโน้มเกี่ยวกับสุขภาพของประชากรชาวอเมริกันจะต้องได้รับความรู้จากหลักสูตรใหม่ๆ ตัวอย่างที่จัดเจนคือ นักการศึกษานำประเด็นเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันบกพร่องที่รู้กันในชื่อว่า AIDS นำมาให้ความรู้กับผู้เรียน บรรจุเป็นเรื่องหนึ่งในหลักสูตร
 8.การศึกษาต่างด้าว สังคมอเมริกันหลังสงครามโลกครั้งที่สองมีชาวต่างด้าวเข้ามาอาศัยอยู่จำนวนมาก นัยสำคัญของคนต่างด้าวจำนวนมาก มาจากครอบครัวที่เรียกว่า ยากจน เด็กที่มาจากประเทศต่างๆจะถูกตีตราว่า ด้อยความสามารถในการเรียนรู้ เพื่อช่วยให้คนต่างด้าวที่เข้ามาใหม่นักการศึกษาให้คำแนะนำว่าโรงเรียนควรได้จัดหลักสูตรสองภาษา หลักสูตรพหุวัฒนธรรมจะช่วยให้เด็กต่างด้าวได้เรียนรู้และอยู่ในสังคมใหม่ได้ดียิ่งขึ้น
9.ภูมิสาสตร์ย้อนกลับ การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นผลมาจากการตีพิมพ์หนังสือชื่อ Nation at Risk ในปี ค.ศ.1983 เด็กอเมริกันจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกรอบตัว รวมถึงภูมิศาสตร์พื้นฐาน มีการทบทวนสาระสำคัญทางภูมศาสตร์ อาทิเรื่อง back to basic, การเรียนรู้วัฒนธรรม นิเวศวิทยาศึกษา และโลกศึกษา เรื่องราวต่างๆที่ศึกษาเล่าเรียนจะเป็นพลังขับเคลื่อนให้รู้จักบทบาทของตนเองเพิ่มยิ่งขึ้น
10.การศึกษาช่วงเกรดกลาง ผู้เรียนที่อายุระหว่าง 10-15 ปี ซึ่งเป็นวัยที่เปลี่ยนแปลงความเจริญเติบโตและพัฒนาการอย่างรวดเร็ว การศึกษาที่จัดให้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับ ก่อนจะเป็นวัยรุ่น และวัยรุ่นตอนต้น เมื่อเปรียบเทียบกับโรงเรียนมัธยม โรงเรียนเกรดกลางมุ่งให้ความสำคัญกับการเรียนรู้สังคมหรือสังคมประกิต ไม่เน้นวิชาการ แต่ให้ความสำคัญกับ intramural sport แต่ไม่เน้น interscholastic sport ถึงว่าโรงเรียนเกรดกลางจะมีอยู่โดยทั่วไป แต่หลักสูตรใหม่ที่เหมาะสมกับกลุ่มเด็กดังกล่าวนี้จำเป็นต้องพัฒนาขึ้น การพัฒนาหลักครูผู้สอนจะต้องเปลี่ยนโปรแกรมการพัฒนาครูจะต้องมีความแตกต่างจากครูประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ในอนาคตสถาบันการผลิตครูจะต้องมุ่งพัฒนาความรู้ ทักษะที่จำเป็นสำหรับการสอนโรงเรียนเกรดกลาง
11.การศึกษาสำคัญผู้สูงอายุ สังคมปัจจุบันจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นักการศึกษามีความเชื่อว่าโรงเรียนจะต้องสอนให้ผู้เรียนเข้าใจปัญหาและความคาดหวังของผู้สูงอายุ และช่วยให้มีความรักต่อผู้สูงอายุ(ทั้งพ่อแม่และปู่ย่าตายาย)ในโรงเรียนจะต้องประสมประสานผู้สูงอายุทั้งผู้ที่มีความประสงค์จะเกษียณอายุและผู้เกษียณอายุจากงานประจำมาช่วยงานในโรงเรียนในรูปแบบ อาสาสมัคร ผู้ช่วยสอนและแหล่งทรัพยากรบุคคลในการเรียนรู้
12.ธุรกิจการศึกษา โรงเรียนหรือสถานศึกษารูปแบบต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ทั้งในรูปแบบของเอกชนและหน่วยงานที่ตั้งขึ้นเฉพาะกิจ อาทิ สถานเลี้ยงเด็ก ศูนย์รับเลี้ยงเด็กช่วงกลางวันและช่วงหลังเลิกเรียน ศูนย์กีฬาและโคชเอกชน ศูนย์ติวเตอร์แฟรนไชส์ วิทยาลัยเอกชนเพื่อให้บริการแนะแนว (ในการเลือกมหาวิทยาลัย) สถาบันติวเตอร์สอบ SAT และการทดสอบเพื่อขอรับในรับรองประกอบวิชาชีพ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นการศึกษาเข้าสู่ตลาดการค้าที่มีการเก็บค่าธรรมเนียมในการศึกษาจากผู้เรียนโดยตรง
13.การศึกษาเพื่ออนาคต จากงานเขียนของทอฟเลอร์ ที่กล่าวถึงอนาคตว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไม่สามารถที่กำหนดขอบข่ายของการเปลี่ยนแปลงได้เลยนั้น จึงนำมาเป็นหลักการของความมุ่งหมายการศึกษา ที่จะต้องเพิ่มขีดความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนเพื่อที่ผู้เรียนแต่ละคนสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่ต่อเนื่อง
                แนวทางหนึ่งในการเตรียมตัวผู้เรียนในอนาคตก็คือ ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง โปรแกรมหรือรายวิชาใหม่ จะถูกเรียกว่า การศึกษาเล่าเรียนเพื่ออนาคต จะเริ่มในระดับอุดมศึกษา และมัธยมศึกษาในโอกาสต่อไป สาระสำคัญของการศึกษาดังกล่าวนี้พิจารณาจากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสถานการณ์ในสังคมโดยไม่มีการแบ่งแยก แต่เป็นทั้งสององค์ประกอบที่ช่วยในการตัดใจในอนาคต โดยทั่วไปการมองอนาคตไม่ใช่ภารกิจที่เล็กๆ แต่เป็นการนำเสนออนาคตที่มีจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยปกติทั่วไปที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และนำไปใช้โดยปรับให้เหมาะสมกับตนเองในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปงอย่างรวดเร็ว

SU Model คือ


SU Model คือ รูปแบบจำลองโลกแห่งการศึกษา โดยประกอบด้วยวงกลม ซึ่งเปรียบเสมือนโลกที่มีองค์ประกอบพื้นฐานสำคัญอย่างน้อย 3 ประการ คือ 1) พื้นฐานทางปรัชญา 2) พื้นฐานทางจิตวิทยา และ 3) พื้นฐานทางสังคม โดยมีสามเหลี่ยมแห่งการศึกษาที่มีองค์ประกอบ 3 ด้าน ได้แก่

·       ด้านความรู้ กำกับด้วยปรัชญาทางการศึกษา 2 ปรัชญา คือ ปรัชญาสารัตถนิยม (Essentialism) ซึ่งมีแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนเพื่อเป็นการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม ประเพณี และ ปรัชญานิรันดรนิยม (Perenialism) ที่มีแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนด้วยเหตุผล เรียนรู้ในสิ่งที่เป็นเนื้อหาสาระที่มั่นคง

·       ด้านผู้เรียน กำกับด้วยปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) ซึ่งมีแนวคิดที่ให้บุคคลมีเสรีภาพในการเลือกด้วยตนเอง มีแนวทางการจัดการศึกษาโดยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเลือกประสบการณ์ในการเรียนรู้ด้วยตนเอง

·       ด้านสังคม จะกำกับด้วยปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม (Reconstructionism) โดยมีแนวคิดในการจัดการศึกษาให้กับผู้เรียนควรเป็นไปเพื่อการพัฒนาสังคม เนื่องจากสังคมมีปัญหา

               กระบวนการพัฒนาหลักสูตร (สามเหลี่ยมใหญ่) จะประกอบด้วยขั้นตอนในการจัดทำหลักสูตร(สามเหลี่ยมเล็กๆ  4 ภาพ) โดยประกอบด้วย 4 ขั้นตอนดังนี้

สามเหลี่ยมแรก เป็นการวางแผนหลักสูตร (Curriculum Planning) อาศัยแนวคิดการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์ คำถามที่หนึ่งคือ มีจุดมุ่งหมายอะไรบ้างในการศึกษาที่โรงเรียนต้องแสวงหา เพราะว่าหลักสูตรต้องมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน เพื่อนำไปวางแผนหลักสูตร มีการกำหนดจุดหมายของหลักสูตร

              สามเหลี่ยมรูปที่สอง เป็นการออกแบบ (Curriculum Design) ซึ่งจะนำจุดหมายและจุดมุ่งหมายของหลักสูตร มาจัดทำกรอบปฏิบัติ หลักสูตรที่จัดทำขึ้น จะมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้ได้รับการพัฒนาตามกระบวนการของหลักสูตร และหรือ มีผลสัมฤทธิ์ตามเจตนารมณ์ของหลักสูตร สอดคล้องกับคำถามที่สองของไทเลอร์ คือ มีประสบการณ์ศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจัดเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายในการศึกษา การออกแบบหลักสูตรมีสาระสำคัญทั้งในด้านกระบวนการ และด้านการพัฒนาผู้เรียน หรือ การออกแบบหลักสูตรมุ่งเน้นความรู้ตามหลักสูตรหรือเนื้อหาสาระ และผลผลิตของหลักสูตร การออกแบบหลักสูตรก็เพื่อให้มีกิจกรรมหรือประสบการณ์ที่ตอบสนองจุดหมาย (aim) และจุดมุ่งหมาย (goal) ของหลักสูตร

              สามเหลี่ยมรูปที่สาม เป็นการจัดระบบหลักสูตร (Curriculum Organize) ซึ่งจะสังเกตเห็นว่ารูปสามเหลี่ยมนี้กลับหัวคล้ายเงาสะท้อนของสามเหลี่ยมรูปแรก ในทางปฏิบัติการจัดระบบหลักสูตรเพื่อให้ตอบสนองการวางแผนหลักสูตร สอดคล้องกับคำถามที่สามของไทเลอร์ คือจัดประสบการณ์เรียนรู้อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ในที่นี้การจัดระบบหลักสูตรให้ได้ประสิทธิภาพมีความหมายรวมถึง การบริหารจัดการหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ กล่าวคือ กระบวนการบริหารที่สนับสนุนการจัดประสบการณ์เรียนรู้ ที่มีประสิทธิผลมีประสิทธิภาพ รวมถึงการนิเทศการศึกษา การนิเทศการสอนจะมีบทบาทสำคัญเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และบรรลุวัตถุประสงค์ของหลักสูตร สามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในการอยู่ร่วมกันในสังคม

              สามเหลี่ยมรูปที่สี่ การประเมิน (Curriculum Evaluation) เป็นการประเมินทั้งระบบหลักสูตรและผลการเรียนรู้ตามหลักสูตร สอดคล้องกับคำถามที่สี่ของไทเลอร์คือ ประเมินประสิทธิผลของประสบการณ์ในการเรียนอย่างไร เพราะว่าการประเมินผลการเรียน ความรู้และการจัดการเรียนการสอนจะทำให้นักเรียนได้ความรู้ที่สามารถนำไปใช้ในสังคม




ลักษณะการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น


ลักษณะการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น
                 1. ประเภทของหลักสูตรท้องถิ่น
                 หลักสูตรท้องถิ่นสามารถแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ
                 1. หลักสูตรท้องถิ่นที่พัฒนาโดยท้องถิ่นเองทั้งหมด แต่ต้องเป็นไปตามนโยบายที่ส่วนกลางได้กำหนดไว้ เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริการัฐแต่ละรัฐสามารถจัดทำหลักสูตรของตนเองตามความต้องการของรัฐนั้นๆ ได้ แต่ต้องไม่ขัดกับนโยบายของรัฐบาลส่วนกลาง (Federal Government)ที่ได้กำหนดไว้อย่างกว้างๆ
                 2. หลักสูตรท้องถิ่นที่พัฒนาขึ้นจากหลักสูตรแม่บทที่ส่วนกลางจัดทำ กล่าวคือ ส่วนกลางของรัฐจัดทำหลักสูตรแม่บท และเว้นที่ว่างให้ท้องถิ่นมีเสรีภาพในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพปัญหา และความต้องการของท้องถิ่น เช่น หลักสูตรประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย ฉบับปรับปรุงพ.ศ. 2533 ในประเทศไทย เป็นต้น หลักสูตรท้องถิ่นประเภทนี้จะพัฒนาได้เป็น 2 กรณี คือ
                           ก. หลักสูตรท้องถิ่นที่พัฒนาโดยปรับบางส่วนของหลักสูตรแม่บท กล่าวคือ เป็นการปรับองค์ประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งของหลักสูตรแม่บท เช่น ปรับรายละเอียดของเนื้อหาเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพปัญหา และความต้องการของท้องถิ่น
                           ข. หลักสูตรท้องถิ่นที่พัฒนาขึ้นเป็นรายวิชาใหม่ หรือการสร้างหลักสูตรย่อย เพื่อเสริมหลักสูตรแม่บท โดยให้สอดคล้องกับสภาพ ปัญหาและความต้องการของท้องถิ่น
                 3. หลักสูตรท้องถิ่นที่พัฒนาสำหรับท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่งโดยเฉพาะ เป็นหลักสูตรที่หน่วยงานในท้องถิ่นพัฒนาเป็นหลักสูตรเฉพาะกิจและเป็นหลักสูตรระยะสั้นๆ เพื่อใช้กับชุมชนหรือท้องถิ่นตามความต้องการและความสมัครใจของผู้เรียน รวมทั้งความสอดคล้องกับสภาพสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของชุมชนในท้องถิ่นนั้นๆ เช่น หลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น อาทิ หลักสูตรซ่อมมอเตอร์ไซด์ หลักสูตรตัดเย็บเสื้อผ้า ที่จัดโดยกรมศึกษานอกโรงเรียนหรือกรมอาชีวศึกษาในประเทศไทย เป็นต้น
           
จากการศึกษาแนวทางและกระบวนการในการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นข้างต้นแล้วนั้น จะพบว่าสถานศึกษาสามารถพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นได้ทุกลักษณะ ได้แก่ การปรับกิจกรรมการเรียนการสอน หรือกิจกรรมเสริมให้มีความสอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น การปรับหรือเพิ่มรายละเอียดหัวข้อของเนื้อหา การปรับปรุงสื่อการเรียนการสอน  การสร้างหรือจัดทำสื่อการเรียนการสอนขึ้นใหม่ และการสร้างหลักสูตรท้องถิ่นโดยจัดทำเป็นรายวิชาขึ้นใหม่ โดยเมื่อจัดทำเสร็จเรียบร้อยแล้วจะต้องเสนอให้คณะกรรมการบริหารหลักสูตรและกลุ่มงานบริหารวิชาการของสถานศึกษาเห็นชอบก่อนนำไปใช้จัดการเรียนการสอน