Need Analysis คือ
การวิเคราะห์ความต้องการ (Need Analysis)
ความต้องการ (Need) คือ ความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เป็นอยู่กับสิ่งที่คาดหวังให้เป็นไป เช่น ความแตกต่างระหว่างผลงานที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลทำออกมากับมาตรฐานที่กำหนด ความไม่เหมือนกันของ สิ่งที่บุคคลผู้หนึ่งมีกับสิ่งที่ผู้ต้องการอยากให้มี การวิเคราะห์ความต้องการจึงเป็นการหาให้พบว่า กลุ่มบุคคล เป้าหมายปฏิบัติงานได้ต่ำกว่าระดับที่องค์การต้องการ (Gap) เพียงใด เป็นการวิเคราะห์ว่าบุคลากรกลุ่มเป้าหมาย ที่ศึกษานั้น ได้ปฏิบัติงานได้ถึงระดับที่องค์กรต้องการหรือไม่ ทั้งโดยชนิด ปริมาณงาน คุณภาพของงาน ความต้องการเหล่านี้สามารถใช้วิธีใดพัฒนาให้ดีขึ้นมาอยู่ในระดับที่องค์การต้องการ เช่น ด้วยการฝึกอบรมบุคลากร ที่เกี่ยวข้อง หรือด้านการพัฒนากระบวนการทำงาน หรือด้วยการจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือเพิ่มเติม หรือด้วยการ พัฒนาทางการบริหารอื่น ๆ สำหรับความต้องการขององค์การที่สามารถตอบสนองได้ด้วยการจัดการฝึกอบรมให้แก่บุคลากรที่เกี่ยวข้อง เรียกว่า ความจำเป็นในการฝึกอบรม (Training Needs) ซึ่งจะได้มาจากกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการ ความจำเป็นในการฝึกอบรมนี้เมื่อวิเคราะห์จากข้อมูลที่รวบรวมก็สามารถค้นหาเป้าหมายในการฝึกอบรม (Instructional Goals) ที่จะสนองความต้องการจากข้อมูลที่มีอยู่เพื่อประกอบการกำหนดแผนและหลักสูตรฝึกอบรม ให้แก่บุคลากรในองค์การที่เกี่ยวข้องต่อไป การวิเคราะห์ความต้องการตามแนวทางของ Designer’s Edge มีวิธีการดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้
ความต้องการ (Need) คือ ความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เป็นอยู่กับสิ่งที่คาดหวังให้เป็นไป เช่น ความแตกต่างระหว่างผลงานที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลทำออกมากับมาตรฐานที่กำหนด ความไม่เหมือนกันของ สิ่งที่บุคคลผู้หนึ่งมีกับสิ่งที่ผู้ต้องการอยากให้มี การวิเคราะห์ความต้องการจึงเป็นการหาให้พบว่า กลุ่มบุคคล เป้าหมายปฏิบัติงานได้ต่ำกว่าระดับที่องค์การต้องการ (Gap) เพียงใด เป็นการวิเคราะห์ว่าบุคลากรกลุ่มเป้าหมาย ที่ศึกษานั้น ได้ปฏิบัติงานได้ถึงระดับที่องค์กรต้องการหรือไม่ ทั้งโดยชนิด ปริมาณงาน คุณภาพของงาน ความต้องการเหล่านี้สามารถใช้วิธีใดพัฒนาให้ดีขึ้นมาอยู่ในระดับที่องค์การต้องการ เช่น ด้วยการฝึกอบรมบุคลากร ที่เกี่ยวข้อง หรือด้านการพัฒนากระบวนการทำงาน หรือด้วยการจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือเพิ่มเติม หรือด้วยการ พัฒนาทางการบริหารอื่น ๆ สำหรับความต้องการขององค์การที่สามารถตอบสนองได้ด้วยการจัดการฝึกอบรมให้แก่บุคลากรที่เกี่ยวข้อง เรียกว่า ความจำเป็นในการฝึกอบรม (Training Needs) ซึ่งจะได้มาจากกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการ ความจำเป็นในการฝึกอบรมนี้เมื่อวิเคราะห์จากข้อมูลที่รวบรวมก็สามารถค้นหาเป้าหมายในการฝึกอบรม (Instructional Goals) ที่จะสนองความต้องการจากข้อมูลที่มีอยู่เพื่อประกอบการกำหนดแผนและหลักสูตรฝึกอบรม ให้แก่บุคลากรในองค์การที่เกี่ยวข้องต่อไป การวิเคราะห์ความต้องการตามแนวทางของ Designer’s Edge มีวิธีการดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้
1. การรวบรวมข่าวสารและเก็บข้อมูล
การรวบรวมข่าวสารและเก็บข้อมูลมีความสำคัญเพราะทำให้รู้ว่าความต้องการคืออะไร ผู้รับการฝึกอบรมมีคุณลักษณะและความสามารถในปัจจุบันอย่างไร มีความต้องการอะไรบ้าง หากเก็บข้อมูล ได้อย่างถูกต้องก็จะรู้ได้ว่า การฝึกอบรมที่จะจัดขึ้นสำหรับบุคลากรกลุ่มเป้าหมายต้องใช้หลักสูตรที่มีเนื้อหาอย่าไร ปกติโดยทั่วไปจะเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ผู้บริหารสนใจอยากพัฒนาก่อน หรือระบุไว้ในแผนกลยุทธ์ของหน่วยงาน ในการเก็บข้อมูลควรเก็บให้ได้มากที่สุด แบบ ๓๖๐ องศา (๓๖๐ Degree feedback)
ส่วนวิธีการที่ใช้เก็บข้อมูลมีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามสภาพของแหล่งข้อมูลและสภาพ ของข้อมูล รวมทั้งตามสภาพความต้องการของการใช้ข้อมูลด้วย ไม่ว่าจะใช้วิธีใดในการเก็บข้อมูลก็มีความจำเป็น ต้องเก็บข้อมูลทุก ๆ รูปแบบที่เป็นไปได้ โดยพยายามเลือกกลุ่มตัวอย่างที่พอเหมาะหรือมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และในการเก็บข้อมูลจะต้องไม่ใช้เครื่องมือเก็บข้อมูลที่มีความลำเอียง
การรวบรวมข่าวสารและเก็บข้อมูลมีความสำคัญเพราะทำให้รู้ว่าความต้องการคืออะไร ผู้รับการฝึกอบรมมีคุณลักษณะและความสามารถในปัจจุบันอย่างไร มีความต้องการอะไรบ้าง หากเก็บข้อมูล ได้อย่างถูกต้องก็จะรู้ได้ว่า การฝึกอบรมที่จะจัดขึ้นสำหรับบุคลากรกลุ่มเป้าหมายต้องใช้หลักสูตรที่มีเนื้อหาอย่าไร ปกติโดยทั่วไปจะเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ผู้บริหารสนใจอยากพัฒนาก่อน หรือระบุไว้ในแผนกลยุทธ์ของหน่วยงาน ในการเก็บข้อมูลควรเก็บให้ได้มากที่สุด แบบ ๓๖๐ องศา (๓๖๐ Degree feedback)
ส่วนวิธีการที่ใช้เก็บข้อมูลมีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามสภาพของแหล่งข้อมูลและสภาพ ของข้อมูล รวมทั้งตามสภาพความต้องการของการใช้ข้อมูลด้วย ไม่ว่าจะใช้วิธีใดในการเก็บข้อมูลก็มีความจำเป็น ต้องเก็บข้อมูลทุก ๆ รูปแบบที่เป็นไปได้ โดยพยายามเลือกกลุ่มตัวอย่างที่พอเหมาะหรือมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และในการเก็บข้อมูลจะต้องไม่ใช้เครื่องมือเก็บข้อมูลที่มีความลำเอียง
1. การระบุความต้องการ
การระบุความจำเป็นหรือความต้องการเป็นการเขียนประโยคที่อธิบายสั้นๆ ให้เห็นความแตกต่างระหว่างสิ่งที่กำลังเป็นอยู่กับสิ่งที่ควรจะเป็นหรือสิ่งที่องค์กรคาดหวัง ซึ่งช่องว่างของความแตกต่างนี้อาจจะเป็นได้ทั้งผลงานจากตัวบุคลากร จากหน่วยงานหรือจากองค์การที่เป็นอยู่ สิ่งสำคัญในการระบุความต้องการจะต้องเขียนออกมาเป็นคำพูดว่าความต้องการหรือปัญหาในการทำงานนั้นคืออะไร เพราะคำพูด เหล่านี้จะทำให้เราสามารถสร้างวัตถุประสงค์ในการฝึกอบรมได้ตรงกับความต้องการหรือปัญหานั้นแนวทางการแก้ไขความต้องการขององค์กร
- ความต้องการที่ถือว่าแก้ไขด้วยการฝึกอบรม (Training Needs) ได้ก็ต่อเมื่อ ความต้องการนั้นแสดงถึงช่องว่างของผลการปฏิบัติของคนกับสิ่งที่หวัง เช่น พนักงานหรือผู้เรียนไม่สามารถ ปฏิบัติงานได้ตามที่คาดหวังในงานกำหนดไว้ เพราะพวกเขาไม่มีกลยุทธ์ภายในที่จะจัดการปัญหาของตัวเองได้ การฝึกอบรมพยายามจะช่วยให้บุคลากรสร้างกลยุทธ์นี้ขึ้นในตัวเขาเองเพื่อช่วยให้ทำงานที่รับผิดชอบได้ดีกว่า
- ความต้องการที่แก้ไขได้ด้วยการจัดหาเครื่องมือให้ (Equipment Needs) ความต้องการ จะแสดงออกมาในลักษณะที่ว่าคนที่ปฏิบัติมีทักษะและประสบการณ์ที่เพียงพออยู่แล้ว แต่ไม่สามารถทำงานได้ผลสม่ำเสมอด้วยคุณภาพที่ดีภายในเวลาที่จำกัด เครื่องมือจะเป็นตัวเพิ่มศักยภาพในการทำงานให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นได้
- ความต้องการที่ตอบสนองด้วยการแก้ไขนโยบายหรือกระบวนการ (Policy Needs) เป็นปัญหาของนโยบาย หรือกระบวนการทำงานที่ต้องวิเคราะห์โดยตัดเอาเครื่องมือ เครื่องจักรและการฝึกอบรม บางประการที่จำเป็นออก หากพบว่ายังมีปัญหานี้อยู่ น่าจะวิเคราะห์ได้ว่าเป็นเพราะนโยบายและกระบวนการ ประเภทของความต้องการ
- ความต้องการเร่งด่วน (Express Need) เป็นความต้องการประเภทที่ต้องถือว่าสำคัญ และมีหลักฐานเพียงพอที่จะส่งไปกับคำฟ้องศาลได้ทีเดียว ความต้องการแบบนี้จะมีข้อเท็จจริงประกอบ ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีการวัด นับ คำนวณและรวบรวมมาอย่างดีถูกต้อง
- ความต้องการที่จำเป็น (Perceived Need) เป็นความต้องการที่เกิดจากความคิดเห็น ของบางคนหรือของผู้สังเกตการณ์ ความต้องการแบบนี้มีข้อมูลรวบรวมเอาไว้น้อย จึงถูกจัดเป็นความต้องการประเภทนามธรรม จนกว่าจะมีข้อมูลประกอบให้เห็นถึงความสำคัญ หากสงสัยว่าความต้องการใดควรหรือไม่ที่จะจัดเป็นความต้องการ ควรหาทางวัดหรือประเมินความสำคัญของความต้องการนั้น ๆ เทียบกับผลการปฏิบัติงาน
- ความต้องการในอนาคต (Future Need) เป็นความต้องการที่ต้องใช้สามัญสำนึก หรือประสบการณ์ที่แสดงแนวโน้มว่าเป็นความต้องการที่จำเป็นต้องมีในอนาคต ส่วนใหญ่มักเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ
การระบุความจำเป็นหรือความต้องการเป็นการเขียนประโยคที่อธิบายสั้นๆ ให้เห็นความแตกต่างระหว่างสิ่งที่กำลังเป็นอยู่กับสิ่งที่ควรจะเป็นหรือสิ่งที่องค์กรคาดหวัง ซึ่งช่องว่างของความแตกต่างนี้อาจจะเป็นได้ทั้งผลงานจากตัวบุคลากร จากหน่วยงานหรือจากองค์การที่เป็นอยู่ สิ่งสำคัญในการระบุความต้องการจะต้องเขียนออกมาเป็นคำพูดว่าความต้องการหรือปัญหาในการทำงานนั้นคืออะไร เพราะคำพูด เหล่านี้จะทำให้เราสามารถสร้างวัตถุประสงค์ในการฝึกอบรมได้ตรงกับความต้องการหรือปัญหานั้นแนวทางการแก้ไขความต้องการขององค์กร
- ความต้องการที่ถือว่าแก้ไขด้วยการฝึกอบรม (Training Needs) ได้ก็ต่อเมื่อ ความต้องการนั้นแสดงถึงช่องว่างของผลการปฏิบัติของคนกับสิ่งที่หวัง เช่น พนักงานหรือผู้เรียนไม่สามารถ ปฏิบัติงานได้ตามที่คาดหวังในงานกำหนดไว้ เพราะพวกเขาไม่มีกลยุทธ์ภายในที่จะจัดการปัญหาของตัวเองได้ การฝึกอบรมพยายามจะช่วยให้บุคลากรสร้างกลยุทธ์นี้ขึ้นในตัวเขาเองเพื่อช่วยให้ทำงานที่รับผิดชอบได้ดีกว่า
- ความต้องการที่แก้ไขได้ด้วยการจัดหาเครื่องมือให้ (Equipment Needs) ความต้องการ จะแสดงออกมาในลักษณะที่ว่าคนที่ปฏิบัติมีทักษะและประสบการณ์ที่เพียงพออยู่แล้ว แต่ไม่สามารถทำงานได้ผลสม่ำเสมอด้วยคุณภาพที่ดีภายในเวลาที่จำกัด เครื่องมือจะเป็นตัวเพิ่มศักยภาพในการทำงานให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นได้
- ความต้องการที่ตอบสนองด้วยการแก้ไขนโยบายหรือกระบวนการ (Policy Needs) เป็นปัญหาของนโยบาย หรือกระบวนการทำงานที่ต้องวิเคราะห์โดยตัดเอาเครื่องมือ เครื่องจักรและการฝึกอบรม บางประการที่จำเป็นออก หากพบว่ายังมีปัญหานี้อยู่ น่าจะวิเคราะห์ได้ว่าเป็นเพราะนโยบายและกระบวนการ ประเภทของความต้องการ
- ความต้องการเร่งด่วน (Express Need) เป็นความต้องการประเภทที่ต้องถือว่าสำคัญ และมีหลักฐานเพียงพอที่จะส่งไปกับคำฟ้องศาลได้ทีเดียว ความต้องการแบบนี้จะมีข้อเท็จจริงประกอบ ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีการวัด นับ คำนวณและรวบรวมมาอย่างดีถูกต้อง
- ความต้องการที่จำเป็น (Perceived Need) เป็นความต้องการที่เกิดจากความคิดเห็น ของบางคนหรือของผู้สังเกตการณ์ ความต้องการแบบนี้มีข้อมูลรวบรวมเอาไว้น้อย จึงถูกจัดเป็นความต้องการประเภทนามธรรม จนกว่าจะมีข้อมูลประกอบให้เห็นถึงความสำคัญ หากสงสัยว่าความต้องการใดควรหรือไม่ที่จะจัดเป็นความต้องการ ควรหาทางวัดหรือประเมินความสำคัญของความต้องการนั้น ๆ เทียบกับผลการปฏิบัติงาน
- ความต้องการในอนาคต (Future Need) เป็นความต้องการที่ต้องใช้สามัญสำนึก หรือประสบการณ์ที่แสดงแนวโน้มว่าเป็นความต้องการที่จำเป็นต้องมีในอนาคต ส่วนใหญ่มักเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ
2. การเขียนเป้าหมายการฝึกอบรมและการจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วน
เป้าหมายในการในการฝึกอบรม (Instructional Goals) คือ สิ่งที่ต้องการให้ผู้เรียนทำได้ หลังจากจบการฝึกอบรม เป้าหมายการฝึกอบรมจะต้องวิเคราะห์มาจากเป้าหมายขององค์การ การค้นหาความต้องการ และจากประสบการณ์ หรือการสังเกต การเขียนเป้าหมายในการฝึกอบรมต้องเขียนเป็นประโยคสามัญที่กล่าวถึงผลลัพธ์ของผู้เรียนที่ชัดเจน มีความสัมพันธ์กับปัญหาและความต้องการที่กำหนดไว้ในประเด็นหนึ่ง ๆ และสามารถทำให้สัมฤทธิ์ผลได้จากการฝึกอบรม มากกว่าด้วยวิธีอื่น
แนวทางในการจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนของเป้าหมายการฝึกอบรม ได้แก่
ก.วิเคราะห์ผลที่จะเกิดกับแต่ละบุคคลหรือองค์การเพื่อดูว่าการฝึกอบรมที่มีอยู่ในโปรแกรมขององค์การสามารถจะแก้ปัญหาได้หรือไม่ หากไม่ได้กำหนดน้ำหนักของผลกระทบของเป้าหมาย ระหว่าง ๑–๑๐๐
ว่ามีขนาดเท่าไร ก็ควรมีการเสนอข้อมูลให้กับผู้บริหารเพื่อให้ความสำคัญของเป้าหมายการฝึกอบรมโดยต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการฝึกอบรมด้วย แล้วกำหนดความเร่งด่วนในการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้
ข.ให้พิจารณาดูว่า มีทีมงานที่จะรับผิดชอบเป้าหมายการฝึกอบรมหรือไม่ มีเวลาที่จะจัดการฝึกอบรมตามเป้าหมายหรือไม่ และเป้าหมายการฝึกอบรมเป็นที่ยอมรับของผู้บริหารที่จะอนุมัติงานฝึกอบรมหรือไม่
เป้าหมายในการในการฝึกอบรม (Instructional Goals) คือ สิ่งที่ต้องการให้ผู้เรียนทำได้ หลังจากจบการฝึกอบรม เป้าหมายการฝึกอบรมจะต้องวิเคราะห์มาจากเป้าหมายขององค์การ การค้นหาความต้องการ และจากประสบการณ์ หรือการสังเกต การเขียนเป้าหมายในการฝึกอบรมต้องเขียนเป็นประโยคสามัญที่กล่าวถึงผลลัพธ์ของผู้เรียนที่ชัดเจน มีความสัมพันธ์กับปัญหาและความต้องการที่กำหนดไว้ในประเด็นหนึ่ง ๆ และสามารถทำให้สัมฤทธิ์ผลได้จากการฝึกอบรม มากกว่าด้วยวิธีอื่น
แนวทางในการจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนของเป้าหมายการฝึกอบรม ได้แก่
ก.วิเคราะห์ผลที่จะเกิดกับแต่ละบุคคลหรือองค์การเพื่อดูว่าการฝึกอบรมที่มีอยู่ในโปรแกรมขององค์การสามารถจะแก้ปัญหาได้หรือไม่ หากไม่ได้กำหนดน้ำหนักของผลกระทบของเป้าหมาย ระหว่าง ๑–๑๐๐
ว่ามีขนาดเท่าไร ก็ควรมีการเสนอข้อมูลให้กับผู้บริหารเพื่อให้ความสำคัญของเป้าหมายการฝึกอบรมโดยต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการฝึกอบรมด้วย แล้วกำหนดความเร่งด่วนในการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้
ข.ให้พิจารณาดูว่า มีทีมงานที่จะรับผิดชอบเป้าหมายการฝึกอบรมหรือไม่ มีเวลาที่จะจัดการฝึกอบรมตามเป้าหมายหรือไม่ และเป้าหมายการฝึกอบรมเป็นที่ยอมรับของผู้บริหารที่จะอนุมัติงานฝึกอบรมหรือไม่
3. การเขียนรายงานการวิเคราะห์ความต้องการ
การเขียนรายงานต้องกระบุความต้องการทุกประเด็นที่วิเคราะห์มาได้ แยกประเภทความต้องการ (ด่วน, จำเป็น, อนาคต) ชนิดของการแก้ปัญหา (การฝึกอบรม, เครื่องมือ, ทรัพยากร ฯลฯ ) รวมถึงเป้าหมาย ในการฝึกอบรม และจัดความสำคัญเร่งด่วน (วิกฤติ, สูง, กลาง, ต่ำ) ซึ่งข้อมูลที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหาร และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ในการวางแนวทางในการจัดฝึกอบรม การวิเคราะห์สภาพในองค์การ รวมถึงการปรับปรุงทางการบริหารต่าง ๆ
การเขียนรายงานต้องกระบุความต้องการทุกประเด็นที่วิเคราะห์มาได้ แยกประเภทความต้องการ (ด่วน, จำเป็น, อนาคต) ชนิดของการแก้ปัญหา (การฝึกอบรม, เครื่องมือ, ทรัพยากร ฯลฯ ) รวมถึงเป้าหมาย ในการฝึกอบรม และจัดความสำคัญเร่งด่วน (วิกฤติ, สูง, กลาง, ต่ำ) ซึ่งข้อมูลที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหาร และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ในการวางแนวทางในการจัดฝึกอบรม การวิเคราะห์สภาพในองค์การ รวมถึงการปรับปรุงทางการบริหารต่าง ๆ
4. การขอความเห็นชอบ
เป็นการส่งรายงานที่วิเคราะห์ได้ให้กับผู้สนใจและผู้บริหารที่มีอำนาจในการตัดสินใจ เพื่อจัดการฝึกอบรม ทำให้รู้ถึงข้อมูลที่เกี่ยวกับความต้องการขององค์การ และรายงานนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการกำหนดแผนการพัฒนาบุคลากรให้เกิดประสิทธิภาพได้ต่อไป
เป็นการส่งรายงานที่วิเคราะห์ได้ให้กับผู้สนใจและผู้บริหารที่มีอำนาจในการตัดสินใจ เพื่อจัดการฝึกอบรม ทำให้รู้ถึงข้อมูลที่เกี่ยวกับความต้องการขององค์การ และรายงานนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการกำหนดแผนการพัฒนาบุคลากรให้เกิดประสิทธิภาพได้ต่อไป
Praxis คือ
ทฤษฎีหลักสูตร
•หลักสูตร: นิยาม
ความหมาย•
“หลักสูตร” หมายถึง ศาสตร์ที่เรียนรู้เพื่อนำไปกำหนดวิถีทางที่นำไปสู่การจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนเพื่อการเรียนรู้
สมิธ (Smith, M.K. 1996) ได้ให้แนวคิดในการนิยาม “หลักสูตร” ตามทฤษฏีและการปฏิบัติหลักสูตรมี
4 ทิศทางดังต่อไปนี้
1.หลักสูตรเป็นองค์ความรู้ที่จะส่งผ่านให้ผู้เรียน
2.หลักสูตรเป็นความพยายามที่จะช่วยให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์
3.หลักสูตรเป็นกระบวนการd
4.หลักสูตรเป็น Praxis หมายถึง
การปฏิบัติของมนุษย์และความเข้าใจในการปฏิบัตินั้น
ทฤษฎีหลักสูตร : นิยาม
ความหมาย
“ทฤษฎี (Theory)” มาจากภาษากรีกว่า Theoria หมายความว่า การตื่นตัวของจิตใจ ดังนั้นทฤษฎีเป็นลักษณะของการมองความจริงอันบริสุทธิ์
•ความสำคัญของทฤษฎี•
ตาททัศนะของโบแชมพ์
(Beauchamp
1981: 11) กล่าวว่า ความสำคัญของทฤษฎีจะช่วยให้เราเข้าใจ 3 ประการ
ได้แก่ (1.) บอกให้ทราบปรากฏการณ์ต่างๆ (2.) อธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
(3.) ทำนายปรากฏการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น
•การสร้างทฤษฏีหลักสูตร•
โบแชมพ์ (Beauchamp 1981: 77)
ได้เสนอว่าทฤษฎีหลักสูตรแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ทฤษฎีการออกแบบหลักสูตร (Design
theories) และทฤษฎีวิศวกรรมหลักสูตร (Engineering theories)
1.) ทฤษฎีการออกแบบหลักสูตร (Design theories)
การออกแบบหลักสูตร (Curriculum design) หมายถึง การจัดส่วนประกอบหรือองค์ประกอบของหลักสูตรซึ่งได้แก่ จุดมุ่งหมาย
เนื้อหา สาระ กิจกรรมการเรียนและการประเมินผล
Zais (1976:
431-437) ได้สรุปการออกแบบหลักสูตร
ประกอบด้วยแนวคิดหลักสูตร 2 แบบ คือ
หลักสูตรแห่งความหลุดพ้น (Unencapsulation design)
และหลักสูตรมนุษยนิยม (Humanisticdesign)
หลักสูตรแห่งความหลุดพ้นมีความเชื่อว่า คนเราจะมีความรู้ความเข้าใจสิ่งต่างๆ 4 ทาง
ได้แก
1.) ความมีเหตุผล (Rationalism) นำไปสู่ความจริง
2.) การสังเกต (Empiricism) รับรู้ได้จากการมอง การได้กลิ่น
การได้ยิน การสัมผัส
3.) สัญชาตญาณ (Intuition) ความรู้สึกต่อสิ่งหนึ่งโดยมิได้มีใครบอกกล่าว
4.) อำนาจ (Authoritarianism) เช่น ความเชื่อทางศาสนา ความเชื่อในสิ่งที่ปราชญ์บอกไว้
2.
ทฤษฎีวิศวกรรมหลักสูตร (Engineering theories)
ทฤษฎีวิศวกรรมหลักสูตร (Engineering theories)
หมายถึง
กระบวนการทุกอย่างที่จำเป็นในการทำให้ระบบหลักสูตรเกิดขึ้นในโรงเรียนได้แก่
การสร้างหรือจัดทำหลักสูตร การใช้หลักสูตร และการประเมินหลักสูตรและระบบหลักสูตร
ถ่ายทอดประสบการณ์ถึงผู้เรียนได้มีหลายรูปแบบ ได้แก่
รูปแบบการบริหาร รูปแบบการปฏิบัติการ รูปแบบการสาธิต รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติ
และรูปแบบการใช้คอมพิวเตอร์เป็นฐานสำหรับการกำหนดหลักสูตร
ทฤษฏีหลักสูตรจะช่วยในการบริหารงานเกี่ยวกับหลักสูตรให้มี หลักเกณฑ์
หลักการ และระบบมากยิ่งขึ้น เช่น การสร้างหลักสูตร การพัฒนาหลักสูตร
และการประเมินหลักสูตรการจัดบุคลากร เกี่ยวกับหลักสูตร
การทำให้องค์ประกอบของหลักสูตรที่จะนำไปใช้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น
กระบวนการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดแบบจำลอง SU Model
กระบวนการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดแบบจำลอง SU Model
กระบวรการพัฒนาหลักสูตร (สามเหลี่ยมใหญ่) จะประกอบด้วยขั้นตอนในการจัดทำ
ซึ่งแบ่งสามเหลี่ยมใหญ่ออกเป็นสามเหลี่ยมเล็กๆ สี่ช่อง หมายถึง 4 ขั้นตอนในกระบวนการ
ช่องแรก ส่วนบนสุด อยู่ติดกับมุมความรู้ คือ "การวางแผนหลักสูตร" (Curriculum Planning)
ช่องแรก ส่วนบนสุด อยู่ติดกับมุมความรู้ คือ "การวางแผนหลักสูตร" (Curriculum Planning)
อาศัยแนวคิดการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์ คำถามแรกคือ มีจุดมุ่งหมายอะไรบ้างในการศึกษาที่โรงเรียนต้องแสวงหา เพราะว่าหลักสูตรต้องมีจุดหมายที่ชัดเจน เพื่อนำไปวางแผนหลักสูตร
ต้องมีการกำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
ช่องที่สอง อยู่ที่มุมของผู้เรียน หรือมุมซ้าย คือ "การออกแบบหลักสูตร" (Curriculum Design)
เป็นการนำจุดมุ่งหมายของหลักสูตรมาจัดทำกรอบการปฏิบัติ โดยหลักสูตรที่จัดทำขึ้นจะมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้ได้รับการพัฒนาตามกระบวนการของหลักสูตร และหรือมีผลสัมฤทธิ์ตามเจตนารมณ์ของหลักสูตรสอดคล้องกับคำถามที่สองของไทเลอร์ คือ มีประสบการณ์การศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจัดเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายในการศึกษา การออกแบบหลักสูตรมีสาระสำคัญทั้งในด้านกระบวนการและด้านการพัฒนาผู้เรียน
ช่องที่สาม เป็นส่วนของ "การจัดระบบหลักสูตร" (Curriculum Organize) ซึ่งอยู่ตรงส่วนของสามเหลี่ยมตรงกลางที่เป็นเงาสะท้อนของสามเหลี่ยมช่องแรก โดยในทางปฎิบัตินั้นการจัดระบบหลักสูตรเพื่อให้ตอบสนองการวางแผนหลักสูตร สอดคล้องกับคำถามที่สามของไทเลอร์คือ จัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ในที่นี้การจัดระบบหลักสูตรให้ได้ประสิทธิภาพมีความหมายรวมถึง การบริหารจัดการหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ กล่าวคือ กระบวนการบริหารที่สนับสนุนจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิผลมีประสิทธิภาพ รวมถึงการนิเทศการศึกษา การนิเทศการสอน จะมีบทบาทสำคัญ เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และบรรลุวัตถุประสงค์ของหลักสูตร สามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในการอยู่ร่วมกันในสังคม
ช่องสุดท้ายสามเหลี่ยมรูปี่สี่ คือส่วนของขั้นตอน "การประเมิน" (Curriculum Evaluation) เป็นการประเมินทั้งระบบหลักสูตรและผลการเรียนรู้ตามหลักสูตร สอดคล้องกับคำถามที่สี่ของไทเลอร์ คือ ประเมินประสิทธิผลของประสบการณ์ในการเรียนอย่างไร เพราะว่าการประเมินผลการเรียน ความรู้และการจัดการเรียนการสอนจะทำให้นักเรียนได้ความรู้ที่สามารถนำไปใช้ในสังคม
ช่องที่สอง อยู่ที่มุมของผู้เรียน หรือมุมซ้าย คือ "การออกแบบหลักสูตร" (Curriculum Design)
เป็นการนำจุดมุ่งหมายของหลักสูตรมาจัดทำกรอบการปฏิบัติ โดยหลักสูตรที่จัดทำขึ้นจะมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้ได้รับการพัฒนาตามกระบวนการของหลักสูตร และหรือมีผลสัมฤทธิ์ตามเจตนารมณ์ของหลักสูตรสอดคล้องกับคำถามที่สองของไทเลอร์ คือ มีประสบการณ์การศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจัดเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายในการศึกษา การออกแบบหลักสูตรมีสาระสำคัญทั้งในด้านกระบวนการและด้านการพัฒนาผู้เรียน
ช่องที่สาม เป็นส่วนของ "การจัดระบบหลักสูตร" (Curriculum Organize) ซึ่งอยู่ตรงส่วนของสามเหลี่ยมตรงกลางที่เป็นเงาสะท้อนของสามเหลี่ยมช่องแรก โดยในทางปฎิบัตินั้นการจัดระบบหลักสูตรเพื่อให้ตอบสนองการวางแผนหลักสูตร สอดคล้องกับคำถามที่สามของไทเลอร์คือ จัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ในที่นี้การจัดระบบหลักสูตรให้ได้ประสิทธิภาพมีความหมายรวมถึง การบริหารจัดการหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ กล่าวคือ กระบวนการบริหารที่สนับสนุนจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิผลมีประสิทธิภาพ รวมถึงการนิเทศการศึกษา การนิเทศการสอน จะมีบทบาทสำคัญ เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และบรรลุวัตถุประสงค์ของหลักสูตร สามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในการอยู่ร่วมกันในสังคม
ช่องสุดท้ายสามเหลี่ยมรูปี่สี่ คือส่วนของขั้นตอน "การประเมิน" (Curriculum Evaluation) เป็นการประเมินทั้งระบบหลักสูตรและผลการเรียนรู้ตามหลักสูตร สอดคล้องกับคำถามที่สี่ของไทเลอร์ คือ ประเมินประสิทธิผลของประสบการณ์ในการเรียนอย่างไร เพราะว่าการประเมินผลการเรียน ความรู้และการจัดการเรียนการสอนจะทำให้นักเรียนได้ความรู้ที่สามารถนำไปใช้ในสังคม
แนวคิดหลัก
ในประสบการณ์การเรียนรู้อีกสองสามบทถัดไป
เราจะดูองค์ประกอบของรูปแบบการเรียนรู้ทีละอย่างละเอียดขึ้น
รูปแบบการเรียนรู้ให้ขอบข่ายของหลักพื้นฐานที่ช่วยปลูกฝังพระกิตติคุณในใจและความคิดของเรา
ในประสบการณ์การเรียนรู้นี้ เราจะเรียนเรื่องการเข้าใจบริบทและเนื้อหา
จุดประสงค์ของประสบการณ์การเรียนรู้นี้คือแนะนำให้รู้จักแง่มุมต่างๆ
ของรูปแบบการเรียนรู้พอสังเขป ขณะที่ท่านรับใช้เป็นครูเซมินารีหรือสถาบัน
ท่านจะมีโอกาสอีกมากมายให้เรียนรู้และฝึกทักษะเหล่านี้

ความหมายและความสำคัญของบริบทและเนื้อหา
ทบทวนแผนภูมิต่อไปนี้เพื่อเข้าใจบริบทและเนื้อหามากขึ้น
วิเคราะห์จุดมุ่งหมายของการเรียนรู้
การที่ผู้สอนจะสอนหรือทดสอบ
จำเป็นที่จะต้องศึกษารายละเอียดของวิชานั้นว่ามี
โครงสร้างหรือกรอบให้แก่ผู้เรียนอย่างไร ซึ่งมักจะประกอบด้วยจุดมุ่งหมายกับเนื้อหา
โดยเรียกว่า การวิเคราะห์หลักสูตรหรือการกำหนดรายละเอียดของวิชา
เพื่อประโยชน์ในการวางแผนการสอนว่าควรจะสอนเนื้อหาอะไร
ให้ผู้เรียนบรรลุพฤติกรรมอะไร มากน้อยเท่าไร และสะดวกแก่การเขียนข้อสอบ
ให้ได้ตรงกับเนื้อหาและพฤติกรรมที่ได้วางแผนไว้ ผู้สอนควรแสดงตารางกำหนดรายละเอียดที่จะสอนทุกครั้งเพื่อหาความสัมพันธ์ของจุดมุ่งหมายและเนื้อหา
ซึ่งในการสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตรมี 2 วิธี คือ
แบบอิงกลุ่ม และแบบอิงเกณฑ์
ความหมายของการวิเคราะห์หลักสูตร
การวิเคราะห์หลักสูตร เป็นการพิจารณารายละเอียดของจุดมุ่งหมายและเนื้อหา แล้วพิจารณาความสัมพันธ์ทั้งจุดมุ่งหมายและเนื้อหาเพื่อนำมาวางแผนในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและการสอบ
วัตถุประสงค์ของการสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร
1. เพื่อใช้ในการวางแผน กำหนดขอบเขตและควบคุมการบริหารการสอนและการสอบ ให้ได้สัดส่วนสัมพันธ์กันอย่างสมดุล และสมบูรณ์ตามความคาดหมาย
2. เพื่อให้การดำเนินการสอนและการสอบให้เป็นไปตามสัดส่วนของระยะเวลาตามความสำคัญของเนื้อเรื่อง และของพฤติกรรมที่พึงประสงค์
3. เพื่อแสดงสัดส่วนของความสำคัญเป็นปริมาณตัวเลขของแต่ละเนื้อหาวิชาและแต่ละพฤติกรรม ที่สัมพันธ์กันตามความมุ่งหมายและตามที่หลักสูตรต้องการ
4. เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาความเที่ยงตรงของข้อสอบทั้งในด้านเนื้อหาวิชา และโครงสร้างที่เป็นอยู่
ลักษณะของตารางวิเคราะห์หลักสูตร
ตารางวิเคราะห์หลักสูตรประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 ส่วนตามแนวตั้ง เป็นเรื่องของเนื้อวิชา ได้แก่เรื่องราวต่าง ๆ ที่กำหนดว่าจะสอนตามหลักสูตรมากน้อยเพียงใด ในส่วนนี้จะเป็นการกำหนดสิ่งที่ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ในเรื่องอะไรบ้าง เป็นสัดส่วนเท่าใด
ส่วนที่ 2 ส่วนตามแนวนอน เป็นโครงสร้างพฤติกรรมทางสมอง หรือที่เรียกว่าจุดประสงค์ คือในส่วนนี้จะเป็นการกำหนดสิ่งที่ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ โดยเกิดความสามารถทางสมองในด้านใดบ้าง มากน้อยเพียงใด เป็นสัดส่วนเท่าใด
ส่วนที่ 3 ส่วนที่เป็นตัวเลข ได้แก่ตัวเลขต่าง ๆ ในแต่ละช่อง ซึ่งแสดงให้ทราบถึงน้ำหนักความสำคัญหรือสัดส่วน ความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาวิชาที่สอนกับพฤติกรรมที่มุ่งจะปลูกฝังและเสริมสร้างให้กับผู้เรียน
ความหมายของการวิเคราะห์หลักสูตร
การวิเคราะห์หลักสูตร เป็นการพิจารณารายละเอียดของจุดมุ่งหมายและเนื้อหา แล้วพิจารณาความสัมพันธ์ทั้งจุดมุ่งหมายและเนื้อหาเพื่อนำมาวางแผนในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและการสอบ
วัตถุประสงค์ของการสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร
1. เพื่อใช้ในการวางแผน กำหนดขอบเขตและควบคุมการบริหารการสอนและการสอบ ให้ได้สัดส่วนสัมพันธ์กันอย่างสมดุล และสมบูรณ์ตามความคาดหมาย
2. เพื่อให้การดำเนินการสอนและการสอบให้เป็นไปตามสัดส่วนของระยะเวลาตามความสำคัญของเนื้อเรื่อง และของพฤติกรรมที่พึงประสงค์
3. เพื่อแสดงสัดส่วนของความสำคัญเป็นปริมาณตัวเลขของแต่ละเนื้อหาวิชาและแต่ละพฤติกรรม ที่สัมพันธ์กันตามความมุ่งหมายและตามที่หลักสูตรต้องการ
4. เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาความเที่ยงตรงของข้อสอบทั้งในด้านเนื้อหาวิชา และโครงสร้างที่เป็นอยู่
ลักษณะของตารางวิเคราะห์หลักสูตร
ตารางวิเคราะห์หลักสูตรประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 ส่วนตามแนวตั้ง เป็นเรื่องของเนื้อวิชา ได้แก่เรื่องราวต่าง ๆ ที่กำหนดว่าจะสอนตามหลักสูตรมากน้อยเพียงใด ในส่วนนี้จะเป็นการกำหนดสิ่งที่ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ในเรื่องอะไรบ้าง เป็นสัดส่วนเท่าใด
ส่วนที่ 2 ส่วนตามแนวนอน เป็นโครงสร้างพฤติกรรมทางสมอง หรือที่เรียกว่าจุดประสงค์ คือในส่วนนี้จะเป็นการกำหนดสิ่งที่ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ โดยเกิดความสามารถทางสมองในด้านใดบ้าง มากน้อยเพียงใด เป็นสัดส่วนเท่าใด
ส่วนที่ 3 ส่วนที่เป็นตัวเลข ได้แก่ตัวเลขต่าง ๆ ในแต่ละช่อง ซึ่งแสดงให้ทราบถึงน้ำหนักความสำคัญหรือสัดส่วน ความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาวิชาที่สอนกับพฤติกรรมที่มุ่งจะปลูกฝังและเสริมสร้างให้กับผู้เรียน
การวางแผนการเรียนรู้
Transcript of ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้
แผนการสอน หมายถึงแผนการหรือโครงการที่จัดทำเป็น
ลายลักษณ์อักษรเพื่อใช้ในการปฏิบัติการสอนในรายวิชาใด
วิชาหนึ่งเป็นการเตรียมการสอนอย่างมีระบบ และเป็นเครื่องมือ
ที่ช่วยให้ครูพัฒนาการจัดการเรียนการสอนไปสู่จุดประสงค์การเรียนรู้
และจุดมุ่งหมายของหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แผนการจัดการเรียนรู้คือ แผนการเตรียมการสอน
หรือกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ
และจัดทำไว้เป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มากำหนดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุ
จุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้
แผนชั้นเรียนรายปี (ต่อ)
3. หลักการจัดทำแผนชั้นเรียนรายปี
3.1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแต่ละเขตกำหนดเป้าหมายการให้บริการสาธารณะร่วมกันภายในเขตจังหวัด
3.2 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแต่ละเขตแจ้งเป้าหมายการให้บริการสาธารณะแต่ละระดับกับสถานศึกษา
3.3 สถานศึกษาจัดทำแผนชั้นเรียนรายปีเสนอสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
3.4 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาวิเคราะห์ กำหนดแผนชั้นเรียนรายปีของสถานศึกษารายโรงทุกระดับ
4. องค์ประกอบที่ใช้กำหนดแผนชั้นเรียนรายปี
4.1 จำนวนนักเรียนที่คาดคะเนว่าจะมาเรียนต่อชั้น อ.1 ป.1 ม.1 และ ม.4 ในเขตพื้นที่บริการ
4.2 แนวโน้มในการรับนักเรียนชั้น อ.1 ป.1 ม.1 และ ม.4 ของสถานศึกษาในอดีตที่ผ่านมา โดยพิจารณาแผนชั้นเรียนที่สถานศึกษาจัดอยู่แล้วในปัจจุบัน
4.3 จำนวนอาคาร สถานที่ และบุคลากร โดยพิจารณาจากที่ดิน อาคารเรียน อาคารประกอบ จำนวนครู อาจารย์
4.4 ขนาดของแผนชั้นเรียนเต็มรูป
รูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้
1. รูปแบบแผนการจัดการเรียนรู้แบบบรรยายหรือแบบเรียงหัวข้อ รูปแบบนี้จะเรียงตามลำดับก่อนหลังโดยลักษณะความเรียงไม่ต้องตีตารางรูปแบบนี้ให้ความสะดวกในการเขียนและได้รับความนิยม แต่มีข้อจำกัดคือยากต่อการดูให้สัมพันธ์กันในแต่ละหัวข้อ
ลายลักษณ์อักษรเพื่อใช้ในการปฏิบัติการสอนในรายวิชาใด
วิชาหนึ่งเป็นการเตรียมการสอนอย่างมีระบบ และเป็นเครื่องมือ
ที่ช่วยให้ครูพัฒนาการจัดการเรียนการสอนไปสู่จุดประสงค์การเรียนรู้
และจุดมุ่งหมายของหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แผนการจัดการเรียนรู้คือ แผนการเตรียมการสอน
หรือกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ
และจัดทำไว้เป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มากำหนดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุ
จุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้
แผนชั้นเรียนรายปี (ต่อ)
3. หลักการจัดทำแผนชั้นเรียนรายปี
3.1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแต่ละเขตกำหนดเป้าหมายการให้บริการสาธารณะร่วมกันภายในเขตจังหวัด
3.2 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแต่ละเขตแจ้งเป้าหมายการให้บริการสาธารณะแต่ละระดับกับสถานศึกษา
3.3 สถานศึกษาจัดทำแผนชั้นเรียนรายปีเสนอสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
3.4 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาวิเคราะห์ กำหนดแผนชั้นเรียนรายปีของสถานศึกษารายโรงทุกระดับ
4. องค์ประกอบที่ใช้กำหนดแผนชั้นเรียนรายปี
4.1 จำนวนนักเรียนที่คาดคะเนว่าจะมาเรียนต่อชั้น อ.1 ป.1 ม.1 และ ม.4 ในเขตพื้นที่บริการ
4.2 แนวโน้มในการรับนักเรียนชั้น อ.1 ป.1 ม.1 และ ม.4 ของสถานศึกษาในอดีตที่ผ่านมา โดยพิจารณาแผนชั้นเรียนที่สถานศึกษาจัดอยู่แล้วในปัจจุบัน
4.3 จำนวนอาคาร สถานที่ และบุคลากร โดยพิจารณาจากที่ดิน อาคารเรียน อาคารประกอบ จำนวนครู อาจารย์
4.4 ขนาดของแผนชั้นเรียนเต็มรูป
รูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้
1. รูปแบบแผนการจัดการเรียนรู้แบบบรรยายหรือแบบเรียงหัวข้อ รูปแบบนี้จะเรียงตามลำดับก่อนหลังโดยลักษณะความเรียงไม่ต้องตีตารางรูปแบบนี้ให้ความสะดวกในการเขียนและได้รับความนิยม แต่มีข้อจำกัดคือยากต่อการดูให้สัมพันธ์กันในแต่ละหัวข้อ
แผนชั้นเรียนรายปี
1. ความหมายของแผนชั้นเรียนรายปี แผนชั้นเรียนรายปี หมายถึง แผนที่กำหนดว่า
สถานศึกษาใดจะเปิดรับนักเรียนชั้นใด กี่ห้องเรียนในแต่ละปี โดยที่สถานศึกษาสามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ
2. ความสำคัญของแผนชั้นเรียนรายปี
2.1 ใช้เป็นแผนในการรับนักเรียนรายปี
2.2 ใช้เป็นกรอบในการจัดตั้งงบประมาณ
2.3 ใช้กำหนดเป้าหมายจำนวนนักเรียนรายปี
1. ความหมายของแผนชั้นเรียนรายปี แผนชั้นเรียนรายปี หมายถึง แผนที่กำหนดว่า
สถานศึกษาใดจะเปิดรับนักเรียนชั้นใด กี่ห้องเรียนในแต่ละปี โดยที่สถานศึกษาสามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ
2. ความสำคัญของแผนชั้นเรียนรายปี
2.1 ใช้เป็นแผนในการรับนักเรียนรายปี
2.2 ใช้เป็นกรอบในการจัดตั้งงบประมาณ
2.3 ใช้กำหนดเป้าหมายจำนวนนักเรียนรายปี
ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี
1. เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติให้มากที่สุด
2. เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ค้นพบคำตอบ หรือทำสำเร็จด้วยตนเอง
3. เป็นกิจกรรมที่มุ่งให้ผู้เรียนรับรู้ และเรียนรู้อย่างเป็นทางการ และสามารถนำกระบวนการไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน
4. เป็นกิจกรรมที่ผู้สอนได้ใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ เหมาะสมกับสาระการเรียนรู้และผู้เรียน
5. เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวัสดุอุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้ในชุมชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น
บทบาทของผู้สอนในการวางแผนการจัดการเรียนรู้
1. เป็นผู้นำเสนอข้อความรู้ใหม่ แต่มิได้เป็นผู้บอกความรู้โดยตรง
2. เป็นผู้กำกับติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียน
3. เป็นผู้วางแผนจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ประยุกต์ใช้องค์ความรู้
4. สอนเนื้อหาบางส่วนซ้ำให้กับผู้เรียนที่ไม่สามารถเรียนรู้เนื้อหาได้ทันตามเพื่อน
การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้
1. สาระการเรียนรู้ช่วงชั้น
2. สาระการเรียนรู้รายปี (สำหรับช่วงชั้นที่ 1-3) หรือสาระการเรียนรู้รายภาค (สำหรับช่วงชั้นที่ 4)
3. คำอธิบายรายวิชา
4. หน่วยการเรียนรู้ตามคำอธิบายรายวิชา
5. แผนการจัดการเรียนรู้ ตามหน่วยการเรียนรู้
1. เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติให้มากที่สุด
2. เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ค้นพบคำตอบ หรือทำสำเร็จด้วยตนเอง
3. เป็นกิจกรรมที่มุ่งให้ผู้เรียนรับรู้ และเรียนรู้อย่างเป็นทางการ และสามารถนำกระบวนการไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน
4. เป็นกิจกรรมที่ผู้สอนได้ใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ เหมาะสมกับสาระการเรียนรู้และผู้เรียน
5. เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวัสดุอุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้ในชุมชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น
บทบาทของผู้สอนในการวางแผนการจัดการเรียนรู้
1. เป็นผู้นำเสนอข้อความรู้ใหม่ แต่มิได้เป็นผู้บอกความรู้โดยตรง
2. เป็นผู้กำกับติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียน
3. เป็นผู้วางแผนจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ประยุกต์ใช้องค์ความรู้
4. สอนเนื้อหาบางส่วนซ้ำให้กับผู้เรียนที่ไม่สามารถเรียนรู้เนื้อหาได้ทันตามเพื่อน
การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้
1. สาระการเรียนรู้ช่วงชั้น
2. สาระการเรียนรู้รายปี (สำหรับช่วงชั้นที่ 1-3) หรือสาระการเรียนรู้รายภาค (สำหรับช่วงชั้นที่ 4)
3. คำอธิบายรายวิชา
4. หน่วยการเรียนรู้ตามคำอธิบายรายวิชา
5. แผนการจัดการเรียนรู้ ตามหน่วยการเรียนรู้
การพัฒนาทักษะการเรียนรู้
ความหมายของการจัดการเรียนรู้
การเรียนรู้ (Learning) หมายถึง กระบวนการที่บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การพัฒนาความคิดและความสามารถ
โดยอาศัยประสบการณ์และปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและ สิ่งแวดล้อม
บลูม (Bloom, 1956) ได้จําแนกการเรียนรู้ไว้เป็น
3 ด้าน คือ
1. ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive
Domain) หมายถึง พัฒนาการด้านสติปัญญาและความคิด
2. ด้านจิตพิสัย (Affective
Domain) หมายถึงพัฒนาการทางด้านคามรู้สึกนึกคิด ความสนใจ ค้านิยม ความซาบซึ้ง
การปรับตวและเจตคติตต่างๆ
3. ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor
Domain) หมายถึง การพัฒนาทักษะในทางปฏิบัติ
ได้แก่ทักษะในการใช้อวัยวะต่างๆ เช่น การเคลื่อนไหว การลงมือทํางาน การทําการทดลอง
กาจ์เย่ (Gagne, 1970) ได้เสนอเงื่อนไขของการเรียนรู้ไว้
8 ประการคือ
1. การเรียนรู้เมื่อได้รับสัญญาณ (Signal
Learning)
2. การเรียนรู้ในลักษณะของการกระตุ้น-ตอบสนอง(Stimulus-Response
Learning)
3. การเรียนรู้โดยการเชื่อมโยงการกระตุ้น-ตอบสนอง
(Chaining)
4. การเรียนรู้โดยสร้างความสมพันธ้กระตุ้น-ตอบสนองด้วยภาษา
(Verbal Association)
5. การเรียนรู้แบบแยกแยะ (Discrimination
Learning)
6. การเรียนรู้ในแนวความคิดหลัก (Concept
Learning)
7. การเรียนรู้ในกฎเกณฑ์ (Rule
Learning)
8. การเรียนรู้เชิงแก้ปัญหา (Problem
Solving)
ความสําคัญของการจัดการเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้เปรียบเสมือนเครื่องมือที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนรักการเรียน
ตั้งใจเรียน และเกิดการเรียนรู้ขึ้น การเรียนของผู้เรียนจะไปสู่จุดหมายปลายทาง คือ
ความสําเร็จในชีวิต หรือไม่เพียงใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการจัดการเรียนรู้ที่ดีของผู้สอน
หรือผู้สอนด้วยเช่นกัน หากผู้สอนรู้จักเลือกใช้วิธีการจัดการเรียนรู้ที่ดีและเหมาะสมแล้ว
ย่อมจะมีผลดีต่อการเรียน ของผู้เรียนดังนี้คือ
1. มีความรู้และความเข้าใจในเนื้อหาวิชา
หรือกิจกรรมที่เรียนรู้
2. เกิดทักษะหรือมีความชํานาญใน เนื้อหาวิชา
หรือกิจกรรมที่เรียนรู้
3. เกิดทัศนคติที่ดีต่อสิ่งที่เรียน
4. สามารถนําความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจําวันได้
5. สามารถนําความรู้ไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมต่อไปอีกได้
อนึ่ง
การที่ผู้สอนจะส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเจริญงอกงามในทุกๆ ด้านทั้งทางด้าน ร่างกาย
อารมณ์สังคม และสติปัญญานั้น การส่งเสริมที่ดีที่สุดก็คือการให้การศึกษา ซึ่งจาก
ที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าการจัดการเรียนรู้เป็นสิ่งสําคัญในการให้การศึกษาแก่ผู้เรียนป็นอย่างมาก
กาจ์เย่ (Gagne, 1970) ได้เสนอเงื่อนไขของการเรียนรู้ไว้
8 ประการคือ
1. การเรียนรู้เมื่อได้รับสัญญาณ (Signal
Learning)
2. การเรียนรู้ในลักษณะของการกระตุ้น-ตอบสนอง(Stimulus-Response
Learning)
3. การเรียนรู้โดยการเชื่อมโยงการกระตุ้น-ตอบสนอง
(Chaining)
4. การเรียนรู้โดยสร้างความสมพันธ้กระตุ้น-ตอบสนองด้วยภาษา
(Verbal Association)
5. การเรียนรู้แบบแยกแยะ (Discrimination
Learning)
6. การเรียนรู้ในแนวความคิดหลัก (Concept
Learning)
7. การเรียนรู้ในกฎเกณฑ์ (Rule
Learning)
8. การเรียนรู้เชิงแก้ปัญหา (Problem
Solving)
ความสําคัญของการจัดการเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้เปรียบเสมือนเครื่องมือที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนรักการเรียน
ตั้งใจเรียน และเกิดการเรียนรู้ขึ้น การเรียนของผู้เรียนจะไปสู่จุดหมายปลายทาง คือ
ความสําเร็จในชีวิต หรือไม่เพียงใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการจัดการเรียนรู้ที่ดีของผู้สอน
หรือผู้สอนด้วยเช่นกัน หากผู้สอนรู้จักเลือกใช้วิธีการจัดการเรียนรู้ที่ดีและเหมาะสมแล้ว
ย่อมจะมีผลดีต่อการเรียน ของผู้เรียนดังนี้คือ
1. มีความรู้และความเข้าใจในเนื้อหาวิชา
หรือกิจกรรมที่เรียนรู้
2. เกิดทักษะหรือมีความชํานาญใน เนื้อหาวิชา
หรือกิจกรรมที่เรียนรู้
3. เกิดทัศนคติที่ดีต่อสิ่งที่เรียน
4. สามารถนําความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจําวันได้
5. สามารถนําความรู้ไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมต่อไปอีกได้
อนึ่ง
การที่ผู้สอนจะส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเจริญงอกงามในทุกๆ ด้านทั้งทางด้าน ร่างกาย
อารมณ์สังคม และสติปัญญานั้น การส่งเสริมที่ดีที่สุดก็คือการให้การศึกษา ซึ่งจาก
ที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าการจัดการเรียนรู้เป็นสิ่งสําคัญในการให้การศึกษาแก่ผู้เรียนป็นอย่างมาก
การประเมินการเรียนรู้
การประเมินผล
หมายถึง การนำเอาผลจากการวัดหลายๆ ครั้งมาสรุป ตีราคา
คุณภาพของผู้เรียนอย่างมีหลักเกณฑ์ว่า สูง ต่ำ ดี เลว อย่างไร
หลักของการวัดผลการศึกษา ได้แก่
1. กำหนดวัตถุประสงค์การวัดให้ชัดเจน
2. วัดให้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
3. เลือกเครื่องมือให้เหมาะสมกับ 1 และ 2
4. ใช้เครื่องมือที่มีคุณภาพเชื่อถือได้
5. มีความยุติธรรมในการวัด
6. แปลผลอย่างถูกต้อง
7. นำผลที่วัดได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า
เครื่องมือที่ใช้ในการวัดการศึกษา
มีหลายชนิดแต่ละชนิดต่างก็มีความเหมาะสมกับการวัดแตกต่างกัน ประกอบด้วย
1. การทดสอบ (Testing)
2. แบบสอบถาม (Questionnaires)
3. แบบสำรวจ (Checkists)
4. มาตรประมาณค่า (Rating Scale)
5. การสังเกต (Observation)
6. การสัมภาษณ์ (Interview)
7. การบันทึก (Records)
8. สังคมมิติ (Sociometry)
9. การศึกษารายกรณี (Case Study)
10. การให้สร้างจินตนาการ (Projective
Technique)
ประเภทของแบบทดสอบ
มีดังต่อไปนี้
1. แบ่งโดยใช้วิธีตอบเป็นเกณฑ์
ประกอบด้วยแบบทดสอบเขียนตอบ (Essay Test) แบบทดสอบปรนัย (Objective
Test) และแบบทดสอบให้ปฏิบัติ (Performance Test)
2. แบ่งโดยใช้วิธีดำเนินการสอบเป็นเกณฑ์ มี 6
ชนิด คือ แบบทดสอบรายบุคคล เป็นกลุ่ม วัดความเร็ว
วัดความสามารถสูงสุด ข้อเขียนและปากเปล่า
3. แบ่งโดยใช้สิ่งที่ต้องการวัดเป็นเกณฑ์ มี 5
ประเภท ได้แก่ วัดผลสัมฤทธิ์ ความถนัด วัดบุคลิกภาพและเจตคติ
คุณลักษณะที่ดีของแบบทดสอบ
ต้องประกอบด้วยความยาก อำนาจจำแนก ความเชื่อมั่นหรือความเชื่อถือได้ ความเที่ยงตรง
ความเป็นปรนัย ความยุติธรรม สามารถนำไปใช้ได้ดี ถามลึก จำเพาะเจาะจง
ยั่วยุและประสิทธิภาพ สำหรับความเที่ยงตรง (Validity) เป็นเรื่องราวของความต้องการหรือตั้งใจจะให้ข้อเสนอวัดอะไร
ชนิดของความเที่ยงตรงมี 3 ชนิด ได้แก่
ความเที่ยงตรงตามเนื้อหา ความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างและความเที่ยงตรงเชิงสัมพันธ์กับเกณฑ์
สถิติเบื้องต้นสำหรับการวัดและประเมินผลการเรียนรู้
ผู้ประเมินต้องเข้าใจวิธีการและเลือกสถิติที่เหมาะสมใช้ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการประเมิน
การวัดแนวโน้มสู่ส่วนกลางเป็นการหาค่าสถิติเพื่อบอกลักษณะที่เป็นตัวแทนของข้อมูล
ค่าสถิติที่นิยมใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ยหรือมัชฌิมเลขคณิต (Mean :
) มัธยมฐาน (Median
: Mdn.) และฐานนิยม (Mode : Mo.) คะแนนมาตรฐาน
(Standard Score) หมายถึง
คะแนนดิบที่แปลงรูปให้มีหน่วยวัดเท่ากันเพื่อให้สามารถนำเปรียบเทียบหรือรวมกันอย่างมีความหมาย
ทั้งนี้เพราะคะแนนดิบหรือคะแนนสอบแต่ละวิชาไม่สามารถนำมารวมกันหรือเปรียบเทียบกันได้
เช่น คะแนนเต็มไม่เท่ากัน เป็นต้น การแปลงคะแนนดิบเป็นคะแนนมาตรฐาน
ต้องอาศัยพื้นฐานที่สำคัญ คือ ค่าเฉลี่ย (
) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(s)


การประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง
เป็นการใช้เทคนิคประเมินผลหลากหลายวิธี
เกณฑ์ที่นำมาใช้ประกอบการพิจารณาประเมินผลตามสภาพจริงนั้น ประกอบด้วย
เกณฑ์ระดับคุณภาพและเกณฑ์การพิจารณาตัดสิน ซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้
1. วิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้
เป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม สามารถวัดหรือสังเกตเห็นได้ด้วยความรู้
ความเข้าใจทักษะ กระบวนการและด้านจิตใจ
2. ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้หรือภาระงานการปฏิบัติในลักษณะผลผลิตหรือผลงาน
ผลการกระทำหรือพฤติกรรมและกระบวนการ เช่น การทดลอง เป็นต้น
3. เลือกวิธีการและเครื่องมือวัดและประเมินผล
4. สร้างเครื่องมือและประเมินผลการเรียนรู้
– กำหนดเกณฑ์การประเมินตามสภาพจริง
– เกณฑ์การให้คะแนนแบบภาพรวม
– เกณฑ์แบบแยกองค์ประกอบ
การประเมินตามสภาพจริงนั้น
ต้องใช้เทคนิคหลากหลาย ได้แก่ การสังเกต การสัมภาษณ์ การรายงานตนเอง บันทึกจากผู้เกี่ยวข้อง
แบบทดสอบปฏิบัติจริง และใช้แฟ้มผลงาน
สรุปสาระสำคัญของผลงานทางวิชาการ
: หนังสือการวัดและประเมินผลการเรียนรู้
สามารถสรุปเป็นประเด็นดังต่อไปนี้
ประเด็นที่ 1 ธรรมชาติของการวัดผลทางการศึกษา
1.1 การวัดผลการศึกษา เป็นการวัดในสิ่งที่เป็นนามธรรม
1.2 มีหน่วยการวัดไม่คงที่หรือมีความแตกต่างกัน
เพราะหน่วยการวัดจะเปลี่ยนตามเครื่องมือ
1.3 มีความคลาดเคลื่อน
อาจเกิดจากเครื่องมือที่ใช้วัด
1.4 เป็นการวัดที่ไม่สมบูรณ์ทั้งหมด
เนื่องจากไม่สามารถวัดลักษณะต่างๆ ได้ วัดได้เฉพาะบางส่วนเท่านั้น เช่น
วัดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคำศัพท์ เป็นต้น
1.5 เป็นงานสัมพันธ์
เพราะผลจากการวัดไม่มีความหมายในตัวเอง ต้องนำผลไปสัมพันธ์กับสิ่งอื่น เช่น
คะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม เกณฑ์ที่ตั้งไว้ล่วงหน้า เป็นต้น
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า
การวัดผลทางการศึกษาจะประสบกับปัญหาและข้อยุ่งยากหลายประการ
เพราะเป็นการวัดทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือมนุษย์
ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ยากแก่การควบคุม แต่จัดว่าเป็นเครื่องมือ (Tools)
หรือ วิถีทาง (Means) ที่จะนำไปสู่เป้าหมาย (Ends)
และมีส่วนให้ครู ผู้บริหาร
ผู้เกี่ยวข้องสามารถพัฒนางานการศึกษาของเด็กให้ดีขึ้นได้
ประเด็นที่ 2 การวัดพฤติกรรมทางการศึกษา
นั้นต้องศึกษาจุดมุ่งหมายทางการศึกษาทุกวิชา เพื่อเน้นให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรม 3
ด้าน คือ
2.1 ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) เป็นพฤติกรรมทางสมองมี 6 ขั้น ได้แก่ ความรู้ความจำ
ความเข้าใจ การนำไปใช้วิเคราะห์ การสังเคราะห์และการประเมินค่า
2.2 ด้านจิตพิสัย (Affective Domain) เป็นพฤติกรรมทางด้านจิตใจ ความรู้สึกของมนุษย์มี 5 ขั้น
ได้แก่ การรับรู้ การตอบสนอง การสร้างคุณค่า การจัดระบบคุณค่าและการสร้างลักษณะนิสัย
2.3 ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor
Domain) เป็นพฤติกรรมด้านทักษะในการปฏิบัติกิจกรรมมี 7 ขั้น ได้แก่ การรับรู้ การเตรียมพร้อมปฏิบัติ
การตอบสนองตามแนวทางที่กำหนดให้ ความสามารถด้านกลไก การตอบสนองที่ซับซ้อน
การดัดแปลงให้เหมาะสมและการริเริ่ม
ดังนั้นผู้สอนทุกวิชาควรสอนให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมทั้ง
3 ด้าน จะเป็นด้านใดมาก-น้อย
ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของแต่ละวิชาและการวัดผลก็ต้องวัดพฤติกรรมทั้ง 3 ด้านด้วยและต้องวัดให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของแต่ละวิชา
ประเด็นที่ 3 การสร้างแบบทดสอบ
ในการประเมินผลขึ้นอยู่กับประเภทของการประเมิน วัตถุประสงค์
และลักษณะของการประเมินที่แตกต่างกัน ซึ่งการประเมินมี 2 ประเภท
คือ
3.1 การสร้างแบบทดสอบแบบอิงกลุ่ม
จะเป็นการวัดความสามารถทางสมอง 6 ด้าน คือ ความรู้
ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์และการประเมินค่า
ขั้นตอนในการวางแผนสร้างแบบทดสอบ ได้แก่
– กำหนดวัตถุประสงค์ของการวัดว่าต้องการอะไร
วัดใคร นักเรียนชั้นใด ระดับใด เป็นต้น
– ศึกษาเนื้อหาทั้งหมดที่จะนำมาทดสอบ
โดยพิจารณาจากขอบเขตของเนื้อหาที่ต้องการทดสอบ ประกอบด้วย เนื้อหาอะไร
แต่ละเนื้อหามีขอบเขตอย่างไร
– ศึกษาจุดมุ่งหมายของการสอนเนื้อหา
เพื่อเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าข้อสอบนั้นเน้นพฤติกรรมด้านใด มากน้อยเพียงใด
จึงสามารถวัดได้ตรงจุดมุ่งหมายของการสอน
– สร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร
จำเป็นมากในการวางแผนสร้างข้อสอบ และใช้เป็นแนวยึดในการเป็นข้อมูลการทดสอบ (Test
Content)
3.2 การสร้างข้อสอบแบบอิงเกณฑ์
เป็นการวัดผลตามจุดประสงค์เชิงคุณภาพ
ข้อสอบจึงต้องเป็นการวัดพฤติกรรมที่ผู้เรียนแสดงออกได้ตามที่กำหนดไว้หรือไม่
สิ่งที่ต้องพิจารณาในการวัดพฤติกรรมตามจุดประสงค์ คือ
– พฤติกรรมต่างๆ
จะเกิดขึ้นได้ เมื่อวางแผนเงื่อนไขหรือมีการเร้าเสียก่อน
ดังนั้นการวัดผลตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมจึงต้องเตรียมเงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่จะทำให้พฤติกรรมนั้นขึ้นไว้ก่อนเสมอ
– พฤติกรรมที่เกิดขึ้นนั้น
คาดหวังว่าเมื่อเรียนรู้ไปได้สมควรแก่เวลาน่าจะเกิดพฤติกรรมอย่างนั้น
พฤติกรรมนี้เองเป็นสิ่งที่ผู้ทำหน้าที่ต้องการวัดเพื่อดูผลการเรียนรู้ของเด็กบรรลุเป้าหมายตามที่คาดหวังหรือไม่
พฤติกรรมที่คาดหวังพิจารณาแบ่งได้ 2 พวก คือ
1. พฤติกรรมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในลำดับขั้นของการเรียนรู้พฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นในลำดับขั้นของการเรียนรู้พฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นภายหลัง
เกิดการเรียนรู้ผ่านมา
2. พฤติกรรมที่คาดหวังปลายทาง
เป็นพฤติกรรมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในขั้นสุดท้าย เมื่อกระบวนการเรียนการสอนสิ้นสุดลง
จะเกิดในลักษณะจุดประสงค์การเรียนการสอนหรือเป้าหมายของการเรียนการสอน
– เกณฑ์ที่จะยอมรับพฤติกรรมต่างๆ
ภายใต้เงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่ตั้งขึ้นมา เพื่อให้พฤติกรรมนั้นเกิดขึ้น
แต่อาจจะเป็นพฤติกรรมที่ไม่แท้จริง เกิดโดยบังเอิญจึงไม่คงทนถาวร
การนำเนื้อหาจากสาระจากหนังสือเล่มนี้ไปใช้ : ในฐานะผู้สรุปเนื้อหาและอ่านเนื้อหาทั้งเล่ม
พบว่า กรณีที่ผู้นำไปใช้เป็นครูผู้สอนในทุกระดับชั้น
สามารถนำประโยชน์จากข้อมูลไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้
เนื่องจากการวัดและประเมินผลผู้เรียนนั้นเป็นส่วนหนึ่งและขั้นตอนหนึ่งของการสอน
สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้สอนมาก เรียงลำดับได้ดังนี้
1. การวัดและประเมินผลผู้เรียน
ซึ่งมีวิธีหลายวิธี เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ การใช้แบบสอบถาม การใช้ข้อทดสอบ
ฯลฯ เป็นต้น
ซึ่งวิธีที่ผู้สอนควรทำได้ง่ายที่สุดเพื่อดูพฤติกรรมเบื้องต้นของผู้เรียนได้ทันที
คือ การสังเกต (Observation) และควรทำขณะสอนได้ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง
การสังเกตเป็นการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปรากฏการณ์หรือพฤติกรรมของผู้เรียนขณะปรากฏ
โดยอาศัยประสาทสัมผัสของผู้สังเกตโดยตรง เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยตรง
ทำให้ได้ข้อมูลที่ตรงกับความจริง น่าเชื่อถือ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นของการสังเกตแต่ละครั้ง
การสังเกตแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. การสังเกตโดยตรง (Direct
Observation) หมายถึง
การที่ผู้สังเกตเข้าไปร่วมในหมู่ผู้ถูกสังเกตหรือร่วมกิจกรรมนั้นๆ โดยตรง
2. การสังเกตโดยอ้อม (Indirect Observation) หมายถึง การสังเกตที่เก็บรวบรวมข้อมูล โดยการทั้งผู้หนึ่งผู้ใดเล่าถึงพฤติกรรมของผู้ถูกสังเกต
2. การสังเกตโดยอ้อม (Indirect Observation) หมายถึง การสังเกตที่เก็บรวบรวมข้อมูล โดยการทั้งผู้หนึ่งผู้ใดเล่าถึงพฤติกรรมของผู้ถูกสังเกต
การสังเกตจำเป็นต้องมีการจดบันทึกและตีความหมายของพฤติกรรม
บางครั้งจำเป็นต้องใช้เครื่องมืออื่นๆ ช่วย เช่น แบบบันทึก แบบสำรวจรายการ
หรือมาตรประมาณค่า การสังเกตจะได้ผลดี ผู้สังเกตต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ คือ
ต้องมีความใส่ใจ (Attention) ต่อสิ่งจะสังเกต มีประสาทสัมผัส
(Sensation) ที่ดีมีการับรู้ (Perception) ที่ดีและมีความคิดรวบยอด (Conception) ที่ดี คือ
สามารถสรุปเรื่องราวได้อย่างถูกต้องเชื่อถือได้ สำหรับลำดับขั้นในการสังเกต
ประกอบด้วย
1. ตั้งจุดมุ่งหมาย
ก่อนสังเกตทุกครั้งและจะนำผลจากการสังเกตไปใช้ประโยชน์อะไร
2. ต้องเข้าใจพฤติกรรมที่จะสังเกตจึงจะสามารถทำการสังเกตได้ถูกต้อง
3. ศึกษาปรากฏการณ์ของสิ่งที่จะสังเกตว่าชนิดใดมีค่าต่อการสังเกต
จะได้สามารถกำหนดหัวข้อที่จะสังเกตและวิธีการสังเกตได้ถูกต้อง
4. วางแผนการดำเนินงานโดยกำหนดระยะเวลาที่จะสังเกตพฤติกรรมให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายและพฤติกรรมที่จะสังเกต
5. เตรียมเครื่องมือที่จะใช้ในการสังเกตให้เหมาะสมกับวิธีการและพฤติกรรมที่จะสังเกต
6. บันทึกผลการสังเกตขณะทำการสังเกต
ต้องบันทึกผลการสังเกตในเครื่องมือบันทึกผลอย่างละเอียดและตรงตามความเป็นจริงทุกประการ
7. ตีความหมายจากข้อมูลที่ได้บันทึกไว้
8. สรุปผลจากการสังเกตหลายๆ คน หลายๆ ครั้ง
เพื่อให้การสรุปผลถูกต้องตรงตามความเป็นจริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น