N = Planning วางแผน เขียนเป็นปรัชญา/วิสัยทัศน์/พันธกิจ/จุดหมายของหลักสูตร/ส่วนนี้คือ creativityที่เป็นplanning
ปัจจุบันโลกแห่งการศึกษาได้ก้าวหน้าและพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ รูปแบบการเรียนรู้ก็ต้องปรับปรุงไปเรื่อยๆเพื่อให้เข้ากับยุคสมัย โดยเด็กนักเรียนจะมีการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น สร้างสรรค์ และท้าทาย มองเห็นปัญหาเป็นโจทย์ให้นักเรียนได้เรียนรู้วิธีการแก้ไข ซึ่งทักษะที่จำเป็นในการเรียนรู้ในศตวรรษที่21 คือ 3R8C โดยมีรายละเอียดดังนี้
อย่างแรกคือ 3R คือทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อผู้เรียนทุกคน
มีดังนี้
1. Reading คือ สามารถอ่านออก
2. (W)Riteing คือ
สามารถเขียนได้
3.
(A)Rithmatic คือ มีทักษะในการคำนวณ
และอีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้ 3R คือ 8C
ซึ่งเป็นทักษะต่างๆที่จำเป็นเช่นกัน
ซึ่งทุกทักษะสามารถนำไปปรับใช้ในการเรียนรู้ได้ทุกวิชา มีดังนี้
1. Critical thinking and problem solving คือ มีทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณและสามารถแก้ไขปัญหาได้
2. Creativity and innovation คือ
การคิดอย่างสร้างสรรค์และคิดเชิงนวัตกรรม
3. Cross-cultural understanding คือ ความเข้าใจในความแตกต่างของวัฒนธรรมและกระบวนการคิดข้ามวัฒนธรรม
4. Collaboration teamwork and leadership คือ ความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะความเป็นผู้นำ
5. Communication information and media
literacy คือ มีทักษะในการสื่อสารและการรู้เท่าทันสื่อ
6. Computing and IT literacy คือ
มีทักษะการใช้คอมพิวเตอร์และรู้เท่าทันเทคโนโลยี
7. Career and learning skills คือ
มีทักษะอาชีพและการเรียนรู้
8.
Compassion คือ มีความเมตตากรุณา มีคุณธรรม และมีระเบียบวินัย
ทักษะทั้งหมดที่ได้กล่าวมาเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับนักเรียนในยุคการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่
21 เป็นอย่างมาก ซึ่งมีความแตกต่างจากการเรียนรู้ในสมัยก่อน ทำให้การเรียนรู้ของนักเรียนในศตวรรษที่ 21 มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากการศึกษาที่ก้าวหน้าและมีคุณภาพแล้ว
การบริหารโรงเรียนหรือสถานศึกษาก็จำเป็นไม่แพ้กัน
โรงเรียนหรือสถานศึกษาควรมีระบบบริหารโรงเรียนที่ดี เพื่อพัฒนาควบคู่ไปกับการเรียนการสอนภายในโรงเรียน
ระบบ”จับจ่าย for
School” เป็นระบบบริหารงานโรงเรียนที่ครอบคลุมมากที่สุด
ทำให้การพัฒนาระบบบริหารโรงเรียนควบคู่กับการศึกษาของนักเรียนเป็นไปได้อย่างง่ายมากขึ้นกว่าสมัยก่อน
นายแพทย์วิจารณ์
พานิช ได้กล่าวเกี่ยวกับการศึกษาใน ศตวรรษที่21 ว่า
ต้อง ‘เรียนรู้’ แบบไหน และ อีกแค่ไหน จึง ‘เปลี่ยนแปลง’
·
ไม่ใช่แค่พ่อแม่และครูที่ ‘อิน’ กับการศึกษา
แต่รวมหมดตั้งแต่ลุงป้าน้าอาและคนที่ไม่มีลูก ทั้งหมดนี้สะท้อนอะไร
หรือการศึกษาไทยถึงทางตัน?
·
‘Transformative
Learning’ หรือ ‘การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง’ เครื่องมือหนึ่งที่ช่วยเปลี่ยนการเรียนรู้
ตั้งแต่ความสัมพันธ์ระหว่างครูในฐานะ ‘คุณอำนวย’ (facilitator) กับผู้รับ และวิธีการเรียนที่ไม่ใช่ถ่ายโอนความรู้เป็นก้อนๆ
แต่ต้องมาจากการลงมือทำ ประสบการณ์จริง และได้ใคร่ครวญคิดไตร่ตรอง
·
ยาแก้อาการเรียนแบบสั่งสอน
เม็ดที่หนึ่งคือการคืน ‘ศักดิ์ศรีครู’
·
การเรียนจึงไม่ใช่การถ่ายทอดความรู้
เป็นการสร้างบรรยากาศ สร้างพื้นที่ให้เด็กได้ทำกิจกรรม
แล้วเกิดการไตร่ตรองสะท้อนคิด (reflect) ว่าความรู้คืออะไร
โยงกับสิ่งที่มีคนอธิบายไว้แล้วซึ่งก็คือทฤษฎีอย่างไร
·
ทฤษฎีขึ้นมาด้วยเปรียบเทียบกับการเรียนแบบเก่าที่เป็นเรื่องภายในของแต่ละคน
เป็นวิธีคิด เป็นทฤษฎี เพราะฉะนั้นห้องเรียนต้องเงียบๆ เด็กๆ ต้องคิดอยู่กับตัวเอง
ซึ่งมีทั้งถูกและผิดนะครับ แต่การเรียนสมัยใหม่ที่ว่าเปลี่ยนหรือดีกว่า
คือการเรียนเป็นกลุ่ม เรียนโดยการฟังคนอื่นด้วย
ฟังข้อคิดเห็นที่เราเองไม่ได้คิดเหมือนกัน คือเรียนความแตกต่าง
เรียนให้รู้ว่าไปเจอประสบการณ์เรื่องหนึ่ง ทำกิจกรรมร่วมกัน เราตีความอย่างนี้
แต่เพื่อนตีความต่างกัน บางทีตรงกันข้าม บางทีคล้ายๆ กันแต่มีบางมุมที่ไม่เหมือน
พอเรียนแบบนี้เข้า เด็กหรือผู้เรียนรวมทั้งเราด้วย
ก็จะเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ใช่วิธีเดียว มันมีหลายมิติ มิติความลึก
มิติความเชื่อมโยง
·
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ความรู้ความเข้าใจแล้ว
แต่คือความเคารพคนอื่น ฟังคนอื่นเป็น อันนี้เป็นการเรียนอีกอย่างซึ่งไม่เกิดขึ้นในห้องเรียนเงียบๆ
และฟังครูสอน แต่คือคอนเซ็ปท์ที่เรียกว่า 21st century skills (ทักษะในศตวรรษที่
21) ซึ่งมีทักษะหลากหลาย ทักษะที่หลากหลายนี้สอนไม่ได้
แต่สร้างพื้นที่ สร้างกิจกรรมให้เด็กได้ทำแล้วก็เรียนรู้ได้ด้วยตัวอย่างที่ว่าไป
การมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ฟังเพื่อนเป็น แต่โดยธรรมชาติ ถ้าไม่ระวัง
เราจะฟังแต่สิ่งที่เราอยากฟัง เพราะมันตรงใจเรา อันไหนไม่ตรงใจเราจะไม่ได้ยิน
ไม่ได้แกล้งด้วย แต่ไม่ได้ยินจริงๆ
เครื่องมือสำคัญของการเรียนรู้
ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงคืออะไร
คอนเซ็ปท์ของ Transformative Learning ที่จริงแล้ว
จะว่ายากก็ยาก ง่ายก็ง่าย ที่ว่าง่ายคือเป็นการเรียนจากเรื่องราวจริง
ที่กระทบใจตัวเอง ที่ตัวเองเอาจริงเอาจัง ตัวเองมีความรู้สึกอึดอัดขัดข้อง ว่า
“เอ… มันไม่เหมือนที่เราเจอจริงๆ ไม่เหมือนที่เราคิด” ต้องเริ่มตรงนั้น
คือเริ่มจากเรื่องจริง เรื่องที่ตัวเองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งหมดนั้นคือ data
หรือ information ถูกเก็บไว้ นำมาใคร่ครวญ คือ
critical reflection ซึ่งการใคร่ครวญนี้
ลงรายละเอียดจะมีเยอะ เพราะทำคนเดียวก็แบบหนึ่ง ทำร่วมกันเป็นกลุ่มก็แบบหนึ่ง
ที่สำคัญคือต้องมีกัลยาณมิตรและทำร่วมกัน
ครูมีหน้าที่กระตุ้น เปลี่ยนหน้าที่โดยสิ้นเชิง
ครูจะทำหน้าที่ได้ดี ต้องเห็นกระบวนการในหัวสมองเด็ก ว่าตอนนี้เด็กกำลังคิดอะไร
คิดแบบไหน นี่คือทักษะครู ซึ่งครูปัจจุบันนี้ไม่มี ครูที่จบปริญญามานี้ไม่มีทักษะ
เพราะวงการศึกษาเรายังยึดการถ่ายทอดการศึกษา มองความรู้เป็นก้อนๆ พูดแบบนี้
มันไม่ใช่ทุกส่วนเป็นแบบนี้ หลายส่วนอาจเปลี่ยนแล้ว
สรุปได้ว่า ศตวรรษที่21 ถือเป็นศตวรรษแห่งนวัตกรรมของโลกเทคโนโลยีที่ทันสมัย
ช่วยให้ผู้เรียนมีบทบาทให้การเรียนรู้มากยิ่งขึ้น
มีการเรียนรู้เกี่ยวกับการสื่อสารที่ทันสมัย การใช้ภาษา การอ่านออกเขียนได้
ซึ่งต่างจากการเรียนแบบเดิม เด็กจะไม่รู้จักแสวงหาความรู้ ไม่มีความคิดสร้างสรรค์
ไม่ทันต่อโลกเทคโนโลยี จึงทำให้การอ่านออกเขียนได้ไม่มีประสิทธิภาพให้ช่วงนั้น
P= หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546
1.1 แนวคิดและหลักการจัดการศึกษาปฐมวัย
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 พัฒนาขึ้นมาโดยอาศัยแนวคิดต่อไปนี้
1.1.1 แนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการเด็ก
เด็กแต่ละคนจะเติบโตและมีลักษณะพัฒนาการแตกต่างกันไปตามวัย
โดยที่พัฒนาการเด็กปฐมวัยบ่งบอกถึง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตัวเด็กอย่างต่อเนื่องในแต่ละวัย
เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงอายุ 5 ปี
1.1.2 แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้
การจัดทำหลักสูตรจะยึดแนวคิดที่จะให้เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงด้วยตัวเด็กเอง
ในสภาพแวดล้อมที่เป็นอิสระ เอื้อต่อการเรียนรู้ และจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับระดับพัฒนาการของผู้เรียนแต่ละคน
1.1.3 แนวคิดเกี่ยวกับการเล่นของเด็ก
การเล่นถือเป็นกิจกรรมที่สำคัญในชีวิตเด็กทุกคนเด็กจะรู้สึกสนุกสนาน เพลิดเพลิน
ได้สังเกต มีโอกาสทำการทดลอง สร้างสรรค์
คิดแก้ปัญหาและค้นพบด้วยตนเอง การเล่นจะมีอิทธิพลและมีผลดีต่อการเจริญเติบโต ช่วยพัฒนาร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา
1.1.4 แนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมและสังคม
บริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่หรือแวดล้อมตัวเด็ก ทำให้เด็กแต่ละคนแตกต่างกันไป
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยฉบับนี้ถือว่าผู้สอนจำเป็นต้องเข้าใจและยอมรับว่าวัฒนธรรมและสังคมที่แวดล้อมตัวเด็กมีอิทธิพลต่อ การเรียนรู้ การพัฒนาศักยภาพ และพัฒนาการของเด็กแต่ละคน
1.2 ปรัชญาการศึกษาปฐมวัย
1.2.1 หลักการ
เด็กทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการอบรมเลี้ยงดูและส่งเสริมพัฒนาการ
ตลอดจนการ
เรียนรู้อย่างเหมาะสมด้วยปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กกับพ่อแม่
เด็กกับผู้เลี้ยงดู
หรือบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาเด็กปฐมวัย
เพื่อให้เด็กมีโอกาสพัฒนาตนเองตามลำดับขั้นของพัฒนาการทุกด้านอย่างสมดุล
และเต็มตามศักยภาพโดยกำหนดหลักการ ดังนี้
1.2.1.1 ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการที่ครอบคลุมเด็กปฐมวัย
ทุก
ประเภท
1.2.1.2 ยึดหลักการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาที่เน้นเด็กเป็นสำคัญ
โดคำนึงถึง
ความแตกต่างระหว่างบุคคลและวิถีชีวิตของเด็กตามบริบทของชุมชน
สังคม และวัฒนธรรมไทย
1.2.1.3 พัฒนาเด็กโดยองค์รวมผ่านการเล่นและกิจกรรที่เหมาะสมกับวัย
1.2.1.4 จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้สามารถดำรงชีวิตประจำวันได้อย่างมี
คุณภาพและมีความสุข
1.2.2 จุดมุ่งหมาย
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กอายุ 3-5 ปี มุ่งให้เด็กมีพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญา
ที่เหมาะสมกับวัย ความสามารถและความแตกต่างระหว่างบุคคล
จึงกำหนดจุดหมายซึ่งถือเป็นมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ดังนี้
1.2.2.1 ร่างการเจริญเติบโตตามวัยและมีสุขนิสัยที่ดี
1.2.2.2 กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรง
ใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและประสานสัมพันธ์กัน
1.2.2.3 มีสุขภาพจิตดี
และมีความสุข
1.2.2.4 มีคุณธรรม จริยธรรม
และมีจิตใจที่ดีงาม
1.2.2.5 ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ
ดนตรี การเคลื่อนไหว และรักการออกกำลังกาย
1.2.2.6 ช่วยเหลือตนเองได้เหมาะสมกับวัย
1.2.2.7 รักธรรมชาติ
สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมและความเป็นไทย
1.2.2.8 อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมในระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
1.2.2.9 ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย
1.2.2.10 มีความสามารถในการคิดและการแก้ปัญหาได้เหมาะสมกับวัย
1.2.2.11 มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
1.2.2.12 มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และมีทักษะในการแสวงหาความรู้
1.3 หลักการจัดการศึกษาปฐมวัย
การจัดทำหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยฉบับนี้
ยึดหลักการจัดการศึกษาปฐมวัย ดังนี้
1.3.1 การสร้างหลักสูตรที่เหมาะสม
เป็นหลักสูตรที่ให้โอกาสทั้งเด็กปกติ
เด็กด้อยโอกาส และเด็กพิเศษได้พัฒนา รวมทั้งยอมรับในวัฒนธรรมและภาษาของเด็ก
พัฒนาเด็กให้รู้สึกเป็นสุขในปัจจุบัน
มิใช่เพียงเพื่อเตรียมเด็กสำหรับอนาคตข้างหน้าเท่านั้น
1.3.2 การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก
สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้จะต้องอยู่ในสภาพที่สนองความต้องการ
1.3.3 การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก
ผู้สอนต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้บอกความรู้หรือสั่งให้เด็กทำมาเป็นผู้อำนวยความสะดวก ในการจัดสภาพแวดล้อมประสบการณ์และกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กที่ผู้สอนและเด็กมีส่วนที่จะริเริ่มทั้ง 2 ฝ่าย โดยผู้สอนจะเป็น ผู้สนับสนุน ชี้แนะ
และเรียนรู้ร่วมกับเด็ก ส่วนเด็กเป็นผู้ลงมือกระทำ เรียนรู้ และค้นพบด้วยตนเอง
1.3.4 การบูรณาการการเรียนรู้
หนึ่งกิจกรรมเด็กสามารถเรียนรู้ได้หลายทักษะและหลายประสบการณ์สำคัญ
1.3.5 การประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก
การประเมินเด็กระดับปฐมวัยยึดวิธี การสังเกตเป็นส่วนใหญ่ ผู้สอนจะต้องสังเกตและประเมินทั้งการสอนของตนและพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กว่าได้บรรลุตามจุดประสงค์และเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่
1.3.6 ความสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับครอบครัวของเด็ก
เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ทั้งนี้
เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เด็กเจริญเติบโตขึ้นมา ผู้สอน พ่อแม่ และผู้ปกครองของเด็กจะต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูล ทำความเข้าใจพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก ต้องยอมรับและร่วมมือกันรับผิดชอบ หรือถือเป็นหุ้นส่วนที่จะต้องช่วยกันพัฒนาเด็กให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการร่วมกัน
สาระการเรียนรู้และประสบการณ์สำคัญ
ผู้สอนหรือผู้จัดการศึกษา
อาจนำสาระการเรียนรู้มาจัดในลักษณะหน่วยการสอนแบบบูรณาการหรือเลือกใช้วิธีการที่สอดคล้องกับปรัชญาและหลักการจัดการศึกษาปฐมวัย
สาระการเรียนรู้กำหนดเป็น 2 ส่วนดังนี้
1.6.1 ประสบการณ์สำคัญ
ประสบการณ์สำคัญเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาเด็กทางด้าน
ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาช่วยให้เด็กเกิดทักษะที่สำคัญสำหรับการสร้างองค์ความรู้ โดยให้เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับวัตถุ สิ่งของบุคคลต่าง ๆ
ที่อยู่รอบตัวรวมทั้งปลูกฝัง คุณธรรม จริยธรรม ไปพร้อมกันด้วย ประสบการณ์สำคัญมี
ดังนี้
1.6.1.1 ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกายได้แก่
(1) การทรงตัวและการประสานสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อใหญ่
(1.1) การเคลื่อนไหวอยู่กับที่และการเคลื่อนไหวเคลื่อนที่
(1.2) การเคลื่อนไหวพร้อมวัสดุอุปกรณ์
(1.3) การเล่นเครื่องเล่นสนาม
(2) การประสานสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อเล็ก
(2.1) การเล่นเครื่องเล่นสัมผัส
(2.2) การเขียนภาพและการเล่นกับสี
(2.3) การปั้นและประดิษฐ์สิ่งต่าง
ๆ ด้วยดินเหนียว ดินน้ำมัน
แท่งไม้ เศษวัสดุ ฯลฯ
(3) การรักษาสุขภาพ
(3.1) การปฏิบัติตนตามสุขอนามัย
(4) การรักษาความปลอดภัย
(4.1) การรักษาความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่นในกิจวัตร
ประจำวัน
1.6.1.2 ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจ
ได้แก่
(1) ดนตรี
(1.1) การแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบเสียงดนตรี
(1.2) การเล่นเครื่องดนตรีง่าย
ๆ เช่น เครื่องดนตรีประเภทเคาะ ประเภทตี ฯลฯ
(1.3) การร้องเพลง
(2) สุนทรียภาพ
(2.1) การชื่นชมและสร้างสรรค์สิ่งสวยงาม
(2.2) การแสดงออกอย่างสนุกสนานกับเรื่องตลก
ขำขันและเรื่องราว/เหตุการณ์ที่สนุกสนานต่าง ๆ
(3) การเล่น
(3.1) การเล่นอิสระ
(3.2) การเล่นรายบุคคล
การเล่นเป็นกลุ่ม
(3.3) การเล่นในห้องเรียนและนอกห้องเรียน
(4) คุณธรรม จริยธรรม
(4.1) การปฏิบัติตนตามหลักศาสนาที่นับถือ
1.6.1.3 ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคม
ได้แก่ การเรียนรู้ทางสังคม
(1) การปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของตนเอง
(2) การเล่นและการทำงานร่วมกับผู้อื่น
(3) การวางแผน
ตัดสินใจเลือก และลงมือปฏิบัติ
(4) การมีโอกาสได้รับรู้ความรู้สึก
ความสนใจและความต้องการของตนเองและผู้อื่น
(5) การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น
(6) การแก้ปัญหาในการเล่น
(7) การปฏิบัติตามวัฒนธรรมท้องถิ่นที่อาศัยอยู่และความเป็นไทย
1.6.1.4 ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา
ได้แก่
(1) การคิด
(1.1) การรู้จักสิ่งต่าง ๆ
ฟัง สัมผัส ชิมรส และดมกลิ่น
(1.2) การเลียนแบบการกระทำและเสียงต่าง
ๆ
(1.3) การเชื่อมโยงภาพ
ภาพถ่าย และรูปแบบต่าง ๆ กับสิ่งของหรือสถานที่จริง
(1.4) การรับรู้และแสดงความรู้สึกผ่านสื่อวัสดุ
ของเล่น และผลงาน
(1.5) การแสดงความคิดสร้างสรรค์ผ่านสื่อ
วัสดุ ต่าง ๆ
(2) การใช้ภาษา
(2.1) การแสดงความรู้สึกด้วยคำพูด
(2.2) การพูดกับผู้อื่นเกี่ยวกับประสบการณ์ของตนเองหรือเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตนเอง
(2.3) การอธิบายเกี่ยวกับสิ่งของ
เหตุการณ์ และความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ
(2.4) การฟังเรื่องราว
นิทาน คำคล้องจอง คำกลอน
(2.5) การเขียนในหลายรูปแบบผ่านประสบการณ์ที่สื่อความหมายต่อเด็กเขียนภาพ
เขียนขีดเขี่ย เขียนคล้ายตัวอักษร เขียนเหมือน สัญลักษณ์ เขียนชื่อตนเอง
(2.6) การอ่านในหลายรูปแบบ
ผ่านประสบการณ์ที่สื่อความหมายต่อเด็กอ่านภาพหรือสัญลักษณ์จากหนังสือนิทาน/เรื่องราวที่สนใจ
(3) การสังเกต การจำแนก
และการเปรียบเทียบ
(3.1) การสำรวจและอธิบายความเหมือน
ความต่างของสิ่งของต่าง ๆ
(3.2) การจับคู่ การจำแนก
และการจัดกลุ่ม
(3.3) การเปรียบเทียบ เช่น
ยาว/สั้น ขรุขระ/เรียบ ฯลฯ
(3.4) การเรียงลำดับสิ่งต่าง
ๆ
(3.5) การคาดคะเนสิ่งต่าง ๆ
(3.6) การตั้งสมมติฐาน
(3.7) การทดลองสิ่งต่าง ๆ
(3.8) การสืบค้นข้อมูล
(3.9) การใช้หรืออธิบายสิ่งต่าง
ๆ ด้วยวิธีการที่หลากหลาย
(4) จำนวน
(4.1) การเปรียบเทียบจำนวนมากว่า
น้อยกว่า เท่ากัน
(4.2) การนับสิ่งต่าง ๆ
(4.3) การจับคู่หนึ่งต่อหนึ่ง
(4.4) การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของจำนวนหรือปริมาณ
(5) มิติสัมพันธ์(พื้นที่/ระยะ)
(5.1) การต่อเข้าด้วยกัน
การแยกออก การบรรจุและการเทออก
(5.2) การสังเกตสิ่งต่าง ๆ
และสถานที่จากมุมมองที่ต่าง ๆ กัน
(5.3) การอธิบายในเรื่องตำแหน่งของสิ่งต่าง
ๆ ที่ส้มพันธ์กัน
(5.4) การอธิบายในเรื่องทิศทางการเคลื่อนที่ของคนและสิ่งต่างๆ
(5.6) การสื่อความหมายของมิติสัมพันธ์ด้วยภาพวาด
ภาพถ่ายและรูปภาพ
(6) เวลา
(6.1) การเริ่มต้นและการหยุดการกระทำโดยสัญญาณ
(6.2) การเปรียบเทียบเวลา
เช่น ตอนเช้า ตอนเย็น เมื่อวานนี้ พรุ่งนี้ ฯลฯ
(6.3) การเรียงลำดับเหตุการณ์ต่าง
ๆ
(6.4) การสังเกตความเปลี่ยนแปลงของฤดู
U=การประเมินผลหลักสูตร
หลักสูตรแกนกลางพุทธศักราช
2551
สรุปได้ว่า หลักสูตรแกนกลางทำขึ้นเพื่อให้หน่วยงานระดับท้องถิ่นและระดับสถานศึกษาทุกสถาบันทุกสังกัดที่จัดการขั้นพื้นฐาน
เพื่อเป็นทิศทางในการพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน
เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพด้านความรู้และทักษะการใช้ชีวิตเพื่อดำรงชีวิตอยู่ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง
และเพื่อให้รู้จักแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
หลักสูตรปฐมวัย2546ของโรงเรียนอุบาลแห่งวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หลักสูตรปฐมวัย2546
ของโรงเรียนอนุบาลแห่งวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เน้นการสอนโดยการจัดกิจกรรมเป็นหลักโดยให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม
เน้นการใช้ภาษา การใช้สติปัญญาและเน้นด้านการปฏิสัมพันธ์
โต้ตอบกับครูผู้สอน ฝึกทักษะการฟัง การพูด เพิ่มเติมทักษะการอ่าน
การออกเสียงให้สอดคล้องกับตัวอักษร การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
โรงเรียนจัดประสบการณ์การเรียนรู้ โดยให้ครอบคลุมพัฒนาการทั้ง
4ด้าน ด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ
สังคมและสติปัญญา
โดยเด็กจะบรรลุตามมาตรฐานคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่กำหนดเป็นจุดหมายของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช
2546 ดังนี้
1. ร่างกายเจริญเติบโต
“ตาม” วัย และมีสุขนิสัยที่ดี
2. กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรง
ใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและประสานสัมพันธ์กัน
3. มีสุขภาพจิตดี
และมีความสุข
4. มีคุณธรรมจริยธรรม
และมีจิตใจที่ดีงาม
5. ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ
ดนตรี การเคลื่อนไหว และรักการออกกำลังกาย
6. ช่วยเหลือตนเองได้เหมาะสมกับวัย
7. รักธรรมชาติ
สิ่งแวดล้อมวัฒนธรรมและความเป็นไทย
8. อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
และปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
9. ใช้ภาษาสื่อสารได้อย่างเหมาะสมกับวัย
10. มีความสามารถในการคิดและการแก้ปัญหาได้เหมาะสมกับวัย
11. มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
12. มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และมีทักษะในการแสวงหาความรู้
จุดเด่นของการนำหลักสูตรมาใช้ในการเรียนการสอน
ทำให้เด็กมีความรู้ความสามารถให้การเรียน อ่าน เขียน ได้ดียิ่งขึ้น จุดด้อยเด็กจะขาดวินัยในการอยู่ร่วมกับสังคม
ใช้ความคิดตัวเองเป็นหลัก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น